คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2172/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะการเป็นผู้เสียหายจะต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย โดยมิได้กล่าวไว้อย่างชัดแจ้งว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยเรื่องผู้เสียหายไม่ถูกต้องอย่างไรและการเป็นผู้เสียหายจะต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195,225ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกล่าวใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่ 3และใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่ 3 โดยวิธีการโฆษณาด้วยเอกสาร เป็นการบรรยายฟ้องที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าบุคคลที่ 3 เป็นใครจำเลยกระทำการหมิ่นประมาทโจทก์ในลักษณะของการโฆษณาอย่างไรแค่ไหนเพียงใดจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโฆษณาหมิ่นประมาทตามฟ้องที่ไหนเมื่อใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ในความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น เมื่อจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 แล้ว ก็ไม่จำต้องยกมาตรา 326ขึ้นปรับบทลงโทษอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามว่าโจทก์คดโกง ฉ้อโกง และหลอกลวงผู้อื่น ทำให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินจากบุคคลอื่น และจำเลยใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม โดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 91ให้ยึดและทำลายหนังสือลับเฉพาะเตือนภัยเสี่ยกำมะลออำเภอฝางที่มีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ และให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์รายวันที่เผยแพร่จำหน่ายในท้องถิ่นอย่างน้อย 3 ฉบับและหนังสือพิมพ์รายวันที่เผยแพร่จำหน่ายในส่วนกลางอย่างน้อย 3 ฉบับติดต่อกันฉบับละไม่น้อยกว่า 7 วัน
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 ประกอบมาตรา 326 ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 12,000 บาทรอการลงโทษ 2 ปี ยึดและทำลายหนังสือ “ลับเฉพาะเตือนภัยเสี่ยกำมะลออำเภอฝาง” โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์รายวันที่เผยแพร่จำหน่ายในท้องถิ่น 3 ฉบับ ติดต่อกัน 7 วัน โดยให้จำเลยชำระค่าโฆษณาคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 6 เดือนและปรับ 4,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้เสียหาย จำเลยไม่เห็นพ้องด้วย เพราะการเป็นผู้เสียหายจะต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยนั้น เห็นว่าฎีกาข้อนี้ของจำเลยมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยเรื่องผู้เสียหายไม่ถูกต้องอย่างไร การเป็นผู้เสียหายจะต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195, 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้นเห็นว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกล่าวใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่ 3ใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่ 3 โดยวิธีการโฆษณาด้วยเอกสาร คำบรรยายฟ้องเช่นนี้เป็นการบรรยายฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าบุคคลที่ 3 เป็นใคร จำเลยกระทำการหมิ่นประมาทโจทก์ในลักษณะของการโฆษณาอย่างไรแค่ไหนเพียงใดจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโฆษณาหมิ่นประมาทตามฟ้องที่ไหนเมื่อใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมายไม่เคลือบคลุม แต่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 มาด้วยนั้น ยังไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อจำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 328 แล้วก็ไม่จำต้องยกมาตรา 326ขึ้นปรับบทลงโทษอีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share