แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินบริษัท บ. โดยมีจำเลยที่ เป็นผู้ค้ำประกัน คู่สัญญากู้อยู่ว่ามิได้มีการกู้และค้ำประกันตามนั้น ความจริงจำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดตามสัญญาอันแสดงเจตนาลวงนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 สัญญากู้อันถูกอำพรางไว้นั้น จำเลยที่ 2ก็ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพราะจำเลยที่ 2 ทำไปในฐานะเป็นทายาทของกองมรดก ส. ซึ่งมีอำนาจจัดการกู้เงินเพื่อประโยชน์ของกองมรดกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1745 ประกอบด้วยมาตรา 1358
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า ความจริงจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ส. ได้ตั้งให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนไปขอกู้เงินจากบริษัท บ. ซึ่งที่ประชุมของบริษัททราบดีว่ากองมรดกของ ส. เป็นผู้กู้ แต่ให้ลงชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ดังนี้ การที่จำเลยนำสืบว่าความจริงจำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้ มิใช่เป็นผู้ค้ำประกัน ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เพราะกรณีเป็นเรื่องนิติกรรมอำพราง ซึ่งมาตรา 94 ไม่ตัดสิทธิจำเลยในอันที่จะนำสืบแสดงว่าสัญญาที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง มาตรา 94 ก็ห้ามแต่เฉพาะเรื่องการนำพยานบุคคลเข้ามาสืบแทนเอกสารเท่านั้นไม่ได้ห้ามในการนำสืบหักล้างพยานเอกสารด้วยเอกสาร โดยมีการสืบพยานบุคคลประกอบข้อความและลายมือชื่อในเอกสารนั้น
จำเลยเพียงแต่กล่าวมาในคำแก้ฎีกาว่า ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับนั้น ไม่มีเหตุอันสมควรชอบที่โจทก์จะต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยนั้น จำเลยย่อมไม่มีสิทธิจะร้องขอให้ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และจำเลยจะฎีกาในเรื่องดุลพินิจเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมโดยเฉพาะไม่ได้ แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็อาจสั่งให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้ในฐานะที่จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในชั้นที่สุด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ให้บริษัทบางกอกกระสอบ จำกัดพ้นสภาพจากบริษัทให้กิจการทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัทตกเป็นของรัฐ และให้โจทก์เป็นเจ้าของกิจการ เมื่อครั้งบริษัทบางกอกกระสอบ จำกัดยังไม่พ้นสภาพจำเลยที่ 1 ได้ยืมเงินบริษัทไป 5,000,000 บาท มีกำหนด 1 ปีในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปี โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและเอาหุ้นที่จำเลยที่ 2 ซื้อเพิ่มจากสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด ประกันหนี้รายนี้ด้วย ครบกำหนดสัญญาและโจทก์ได้ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นนิติกรรมอำพรางเพราะจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้รับหนังสือให้ชำระค่าหุ้นของบริษัทสหธนาคารกรุงเทพจำกัดที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้ถึงแก่อสัญกรรมเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ และมีสิทธิจะซื้อเพิ่มเป็นเงิน 4,962,500 บาท หากกองมรดกไม่ชำระเงินพร้อมกับซื้อหุ้นที่เพิ่มขึ้นธนาคารจะจำหน่ายหุ้นให้แก่ผู้อื่น ขณะนั้นคณะกรรมการสอบสวนทรัพย์สินของรัฐในกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้อายัดเงินกองมรดกและของจำเลยที่ 2 ไว้ทั้งหมด จำเลยที่ 2 ได้ขออนุมัติต่อคณะกรรมการสอบสวนทรัพย์สินฯ เพื่อถอนเงินในบัญชีไปซื้อหุ้นที่เพิ่มขึ้น แต่คณะกรรมการดังกล่าวไม่อนุมัติ จำเลยที่ 2 จึงตั้งจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนไปกู้เงินจากบริษัทบางกอกกระสอบจำกัด 5,000,000 บาท ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทบางกอกกระสอบจำกัดทราบว่ากองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้กู้เงินรายนี้ แต่ลงชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ และลงชื่อจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นผู้ค้ำประกัน โดยเอาใบหุ้นของบริษัทสหธนาคารกรุงเทพจำกัด เป็นประกันด้วย มิใช่เป็นหนี้ส่วนตัวของจำเลยทั้งสองและโจทก์มอบที่จะบังคับเอาจากใบหุ้นที่กองมรดกซื้อเพิ่มจำนวน 49,625 หุ้น และมอบให้บริษัทบางกอกกระสอบจำกัดยึดไว้เป็นประกันหนี้รายนี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้หุ้นดังกล่าวตกเป็นของรัฐ หนี้ที่เกิดเพื่อให้มีหุ้นขึ้นก็จะต้องตกเป็นของรัฐด้วย การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในหนี้สินนั้นอีก เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
วันชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันบางประการ แล้วศาลชั้นต้นงดสืบพยาน และพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ย ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ในประเด็น (1) จำเลยได้กู้เงินจำนวนนี้ไปซื้อหุ้นของบริษัทสหธนาคารกรุงเทพจำกัดจริงหรือไม่ (2) การทำสัญญากู้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทบางกอกกระสอบจำกัดเป็นเจตนาลวงหรือไม่ (3) จำเลยที่ 2 ค้ำประกันในฐานะอะไร (4) จำเลยที่ 2 ได้เอาใบหุ้นไปจำนำไว้จริงหรือไม่ และ (5) ใบหุ้นที่ถูกริบไปทั้งหมดมีราคาเท่าใด
ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาใหม่แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า การทำสัญญากู้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด เป็นการแสดงเจตนาลวง โดยทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้กู้ และในสัญญาค้ำประกันระหว่างจำเลยที่ 2 กับบริษัทบางกอกกระสอบจำกัดก็เช่นเดียวกันคู่สัญญาแสดงเจตนาลวงโดยทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันอยู่ว่าไม่มีการค้ำประกันตามนั้น แต่มีนิติกรรมที่ถูกอำพรางอยู่ คือสัญญากู้ที่จำเลยที่ 2 ทำกับบริษัทบางกอกกระสอบจำกัดในฐานะเจ้าของรวมและตัวแทนทายาท จึงเป็นทั้งเรื่องเจตนาลวงและนิติกรรมอำพรางในเรื่องเจตนาลวงนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อบริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ส่วนในเรื่องนิติกรรมอำพรางเห็นว่า จำเลยที่ 2 กระทำเพื่อประสงค์จะรักษากองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไว้มิให้สูญเสียผลประโยชน์อันจะพึงมีพึงได้ แม้ขณะจำเลยที่ 2 ร้องขออนุมัติต่อคณะกรรมการสอบสวนทรัพย์สินฯ ขอถอนเงินนั้น จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่จำเลยที่ 2 ก็เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก เป็นทายาทด้วยผู้หนึ่ง ย่อมมีอำนาจจัดการกู้เงินได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745 ประกอบด้วยมาตรา 1358 ไม่มีเหตุอันใดที่จะให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว และวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยนำสืบว่า ความจริงจำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้ยืม มิใช่เป็นผู้ค้ำประกันนั้น เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญากู้ยืม และสัญญาค้ำประกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เห็นว่ากรณีนี้เป็นเรื่องนิติกรรมอำพราง ซึ่งมาตรา 94 ไม่ตัดสิทธิจำเลยในอันที่จะนำสืบแสดงว่าสัญญาที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง บทบัญญัติแห่งมาตรา 94 นี้ก็ห้ามแต่เฉพาะเรื่องการนำพยานบุคคลเข้ามาสืบแทนเอกสารเท่านั้น แต่ในคดีนี้จำเลยนำสืบหักล้างพยานเอกสารด้วยเอกสารโดยมีการสืบพยานบุคคลประกอบข้อความในเอกสารและลายมือในเอกสารเท่านั้น กรณีไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติมาตรานี้แต่อย่างใด
ส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาด้วยว่า การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับนั้นไม่มีเหตุอันสมควร ชอบที่โจทก์จะต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 นั้น เห็นว่าจำเลยเพียงแต่กล่าวเรื่องนี้ไว้ในคำแก้ฎีกาจำเลยย่อมไม่มีสิทธิจะร้องขอให้ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ในขณะเดียวกันจำเลยก็จะฎีกาในเรื่องดุลพินิจเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมโดยเฉพาะไม่ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 161, 167 วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยตลอดมาทุกชั้นศาลในฐานะที่จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในชั้นที่สุด
พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม เป็นให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย รวมทั้ง 5 ศาลโดยกำหนดค่าทนายให้ 100,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์