แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ขอแบ่งห้องพิพาทกึ่งหนึ่งอ้างว่า เป็นหุ้นส่วนกัน คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์มาฟ้องคดีนี้โดยกล่าวว่าห้องพิพาทเป็นทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 มีผู้จะเช่าตึกพิพาทโดยให้เงินล่วงหน้า 100,000 บาท ค่าเช่าเดือนละ 150 บาท จำเลยจะให้เช่าโดยไม่ยอมแบ่งเงินล่วงหน้าและค่าเช่าให้โจทก์ โจทก์เสนอขอรับส่วนแบ่งผู้เช่าจึงระงับการเช่าไปภายหลังจำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 เข้าอยู่ในห้องพิพาทเป็นเหตุให้เสื่อมประโยชน์ของโจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินล่วงหน้าในการเข้าอยู่ในห้องพิพาท 50,000 บาท กับผลประโยชน์ที่โจทก์ควรจะได้เดือนละ75 บาท ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามคำฟ้องในคดีหลังนี้ต่างกับคดีก่อน คดีก่อนโจทก์ขอแบ่งตึกพิพาทอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ควรจะได้ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่เอาตึกพิพาทไปให้จำเลยที่ 2 อยู่ ซึ่งเป็นมูลกรณีที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนและโจทก์ไม่อาจขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ ทั้งคดีหลังนี้ยังมีข้อหาและคำขอบังคับเอากับจำเลยที่ 2 อีกส่วนหนึ่งด้วย จึงไม่ใช่คำฟ้องเรื่องเดียวกันกับคดีก่อนไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เข้าหุ้นกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 17449 ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี1 แปลง และได้ร่วมกันสร้างตึกแถวขึ้น 3 ห้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาชี้ขาดแล้วว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนกัน ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 353/2515 ของศาลจังหวัดลพบุรี ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 1 มีความประสงค์จะขายตึกแถวที่ปลูกขึ้นห้องเลขที่ 35/3ให้องค์การ ร.ส.พ. แต่แล้วจำเลยที่ 1 เปลี่ยนเป็นให้เช่าและเรียกเงินล่วงหน้า 100,000 บาท ค่าเช่าเดือนละ 150 บาทโดยแสดงออกว่าเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว โจทก์เสนอขอรับส่วนแบ่งองค์การ ร.ส.พ. จึงระงับการซื้อและการเช่าไว้ และเป็นกรณีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวแล้ว ภายหลังจำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 เข้าอยู่ในห้องพิพาทเป็นเหตุให้เสื่อมเสียประโยชน์ของโจทก์ กล่าวคือ โจทก์ไม่ได้รับเงินล่วงหน้า 100,000 บาท กับค่าเช่าเดือนละ 150 บาท ซึ่งเป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 เข้าอยู่ในห้องพิพาทแล้วเป็นเวลา 2 ปี โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยที่ 2 เพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองรับผิดร่วมกันและแทนกันใช้เงินล่วงหน้าในการเข้าอยู่ในห้องพิพาทเป็นเงิน 50,000 บาท กับผลประโยชน์ที่โจทก์ควรจะได้เดือนละ75 บาท รวม 2 ปีกับเดือนต่อไปนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 2 จะออกจากห้องพิพาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนถึงวันจำเลยที่ 2 ออกจากห้องพิพาทให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินและตึกแถวแต่ผู้เดียว จึงไม่ต้องแบ่งผลประโยชน์ให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับผลประโยชน์ตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขคดีแดงที่ 353/2515 ของศาลจังหวัดลพบุรี และคดีโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เช่าห้องพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของโดยสุจริต โดยชำระค่าเช่าให้จำเลยที่ 1 เดือนละ 300 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชดใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ
วันชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า ก่อนคดีนี้ โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยขอแบ่งห้องพิพาทครึ่งหนึ่ง แต่จำเลยที่ 1 ต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่า เป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขคดีแดงที่ 353/2515 ของศาลจังหวัดลพบุรี และคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกเป็นการฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1) ที่ห้ามมิให้ยื่นฟ้องคดีเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น นับแต่เวลาที่ได้ยื่นฟ้องคดีก่อนไว้แล้ว และคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีต้องฟังว่าโจทก์มีสิทธิในตึกรายพิพาทครึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 353/2515 ของศาลจังหวัดลพบุรี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เพราะยังไม่มีคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่ากลับหรือแก้ไขเป็นอย่างอื่น คดีเดิมโจทก์ฟ้องขอแบ่งคดีพิพาทแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกผลประโยชน์ที่โจทก์ควรจะได้รับ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 เข้าอยู่ในตึกพิพาทไม่ใช่เป็นการฟ้องซ้อนดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความค่าฤชาธรรมเนียม ให้ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 353/2515ของศาลจังหวัดลพบุรี ซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามคำฟ้องของโจทก์ คดีนี้ต่างกับคดีก่อน คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 แบ่งตึกพิพาทให้โจทก์โดยอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนกัน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินผลประโยชน์ที่โจทก์ควรจะได้รับจากเงินล่วงหน้าและค่าเช่าตึกพิพาท ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่เอาตึกพิพาทไปให้จำเลยที่ 2 เข้าอยู่แทน โดยคิดเทียบเท่ากับที่โจทก์ควรจะได้รับจากจำเลยที่ 1 ถ้าองค์การ ร.ส.พ. เป็นผู้เช่าเห็นได้ว่าเป็นมูลกรณีที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีก่อน และโจทก์ไม่อาจขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชดใช้เงินล่วงหน้าและค่าเช่าให้โจทก์ในคดีก่อนได้ จำเป็นต้องฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ยังมีข้อหาและคำขอบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 อีกส่วนหนึ่งด้วย จึงไม่ใช่คำฟ้องเรื่องเดียวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 353/2515 ของศาลจังหวัดลพบุรี ไม่ต้องห้ามมิให้โจทก์ฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีนี้ได้ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีก่อนไม่มีผลบังคับและไม่ผูกพันคู่ความ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกา ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่