คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2524/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

อาคารที่ตั้งสำนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นตึกสูง 20 ชั้นในอาคารนั้นเป็นที่ตั้งสำนักงานบริษัทอื่น ๆ ประมาณ50 บริษัท สำนักงานของจำเลยที่ 1 อยู่ที่ชั้น 19ซึ่งตามปกติพนักงานของศาลที่ไปส่งหมายต่าง ๆ ให้บริษัทจำเลยที่ 1 จะปิดหมายไว้ที่บริเวณใกล้ตู้โทรศัพท์ซึ่งเป็นทางเดินเล็ก ๆ ไปยังห้องน้ำอยู่แล้ว ดังนั้น ที่พนักงานเดินหมายของกรมบังคับคดีนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องซึ่งได้กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1โดยการปิดไว้ชั้นล่างของอาคารดังกล่าว จึงเป็นวิธีปฏิบัติตามปกติในการส่งหมายให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ย้ายภูมิลำเนาไปที่อื่น การปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตลอดจนการแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการปิดคำคู่ความและเอกสารไว้ในที่แลเห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของคู่ความ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่งแล้วเมื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับได้ทราบถึงวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบแล้ว การที่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดและไม่มาศาลในวันสืบพยานโจทก์โดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดีจึงเป็นการจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชดใช้ค่าเสียหายกรณีจำเลยทั้งสองให้คนงานก่อสร้างอาคารสูง 12 ชั้นด้วยความประมาทโดยใช้เครื่องจักรตอกเสาเข็มก่อให้เกิดการสั่นสะเทือน และปล่อยให้วัสดุก่อสร้างตกหล่น ทำให้อาคารของโจทก์แตกร้าวเสียหายและทรุดตัว จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 441,050 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่า ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์ จำเลยที่ 1 มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาถ้าจำเลยที่ 1 ได้ต่อสู้คดีผลของคำพิพากษาจะเปลี่ยนไป เพราะอาคารโจทก์มีสภาพเก่าสร้างมาหลายสิบปี จำเลยที่ 1 ได้ใช้ความระมัดระวังในการก่อสร้างเป็นอย่างดี ความเสียหายของอาคารโจทก์เกิดขึ้นเพราะการตอกเสาเข็มของบริษัทซีฟโก้ จำกัด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ทราบนัดโดยชอบแล้วการขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 เป็นการประวิงการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าอาคารที่ตั้งสำนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นตึกสูง 20 ชั้นในอาคารนั้นเป็นที่ตั้งสำนักงานบริษัทอื่น ๆ ประมาท 50 บริษัทสำนักงานของจำเลยที่ 1 อยู่ที่ชั้น 19 ของอาคารดังกล่าวพนักงานเดินหมายของกรมบังคับคดีได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องซึ่งในหมายเรียกได้กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้ด้วยไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 โดยการปิดไว้ที่ชั้นล่างของอาคารดังกล่าว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่า สำเนาคำฟ้องระบุภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ว่าอยู่บ้านเลขที่ 2170 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ซึ่งตรงตามที่ปรากฏในหนังสือรับรองของนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครเอกสารท้ายคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 29 เมษายน 2539 และนายไพบูลย์ บูชา พนักงานเดินหมายของกรมบังคับคดีซึ่งเป็นพยานจำเลยที่ 1 ก็เบิกความว่าได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยที่ 1 ณ ภูมิลำเนาดังกล่าว แต่เนื่องจากในสำเนาคำฟ้องมิได้ระบุว่า สำนักงานของจำเลยที่ 1 อยู่ที่ชั้นใด นายไพบูลย์จึงปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ที่ด้านหน้าของอาคารนั้น ประกอบกับไม่ปรากฏว่าในขณะนั้น จำเลยที่ 1 ได้ย้ายภูมิลำเนาไปที่อื่น การปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตลอดจนการแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการปิดคำคู่ความและเอกสารไว้ในที่แลเห็นได้ง่ายณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของคู่ความ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่งแล้ว ที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่า นายแปน เสียงใส และนายชาติเฉลิม ศุภางคเสนพยานจำเลยที่ 1 เบิกความตรงกันว่า ที่ชั้นล่างของอาคารมีป้ายระบุว่าบริษัทใดอยู่ชั้นใดอย่างชัดเจนโดยป้ายดังกล่าวอยู่ตรงกันข้ามกับลิฟต์โดยสารในตัวอาคารสามารถมองเห็นได้ง่ายแต่พนักงานเดินหมายกลับปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ที่บริเวณหน้าห้องน้ำชั้นล่างซึ่งเป็นมุมอับนั้นขัดกับคำเบิกความของนายไพบูลย์พยานจำเลยที่ 1 นอกจากนั้น นายแปนยังเบิกความว่าตามปกติพนักงานของศาลซึ่งไปส่งหมายต่าง ๆ ให้บริษัทจำเลยที่ 1จะปิดหมายไว้ที่บริเวณใกล้ตู้โทรศัพท์ซึ่งเป็นทางเดินเล็ก ๆไปยังห้องน้ำ ดังนั้นการปิดหมายที่บริเวณดังกล่าวเป็นวิธีปฏิบัติตามปกติในการส่งหมายให้แก่จำเลยที่ 1 ส่วนนายชาติเฉลิมก็เบิกความว่า ไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องคดีนี้เท่านั้นไม่ได้เบิกความถึงสถานที่ปิดหมายเช่นเดียวกัน พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงมีพิรุธ เลื่อนลอย และแตกต่างกันในสาระสำคัญไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง กรณีรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับได้ทราบถึงวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบแล้ว แต่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดและไม่มาศาลในวันสืบพยานโจทก์ โดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี พฤติกรรมของจำเลยที่ 1 เป็นการจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share