แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแบ่งที่ดินที่ยึดออกเป็น 3 แปลง ตามสภาพที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง แล้วแยกขายทีละแปลง ในวันไต่สวนจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ได้ตรวจคำร้อง คำคัดค้านของโจทก์และคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสั่งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 4 จึงให้งดไต่สวน แล้วให้คู่ความรอฟังคำสั่ง จากนั้นได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 4 อันเป็นคำสั่งชี้ขาดในเรื่องให้รวมหรือแยกทรัพย์สินขายทอดตลาด จึงเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 วรรคสองแล้ว ปัญหาที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่ได้ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 4 ก่อนมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าว และไม่มีคำสั่งให้เลื่อนคดีตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 4 เป็นการไม่ชอบนั้น ล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลชั้นต้นเพื่อนำไปสู่การโต้แย้งว่าคำสั่งชี้ขาดของศาลชั้นต้นในเรื่องให้รวมหรือแยกทรัพย์สินขายทอดตลาดซึ่งเป็นที่สุดแล้วไม่ชอบ คำสั่งของศาลชั้นต้นในปัญหาดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน
ย่อยาว
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ขอให้แบ่งที่ดินออกเป็น 3 แปลง ตามสภาพที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง 3 รายการ แล้วแยกขายทีละแปลง โดยให้ประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดใหม่แยกเป็นรายแปลง และให้ยกเลิกวิธีการขายทอดตลาดเดิมที่กำหนดราคาขายเบื้องต้นเอาไว้ เพื่อที่จะได้ขายทรัพย์สินในราคาที่สูงขึ้นและเหมาะสมกับจำนวนหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า แม้ทรัพย์สินที่ยึดจะมีราคาประเมินสูงถึง 17,355,000 บาท แต่สิ่งปลูกสร้างทั้งสามรายการ ตั้งอยู่ในที่ดินโฉนดแปลงเดียวกัน และสภาพของทรัพย์เป็นสถานีบริการน้ำมัน การแยกขายอาจไม่มีผู้สนใจและทำให้ราคาเสื่อมลง จึงให้ทำการขายทอดตลาดต่อไป
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดในเรื่องนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 วรรคสอง
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน
ในวันนัดไต่สวน จำเลยที่ 4 ขอให้เลื่อนการไต่สวน
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้อง คำคัดค้าน และคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสั่งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 4 จึงให้งดการไต่สวน และให้คู่ความรอฟังคำสั่ง จากนั้นได้มีคำสั่งในวันเดียวกัน ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อแรกต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 4 ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 4 เป็นที่สุดหรือไม่ เห็นว่า ในชั้นบังคับคดี เมื่อจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแยกขายที่ดินโดยแบ่งที่ดินเป็น 3 แปลง ตามสภาพที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง แล้วแยกขายทีละแปลงโดยอ้างว่า เพื่อให้ขายทรัพย์สินได้ในราคาที่สูงขึ้น และเหมาะสมกับจำนวนหนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การแยกขายทรัพย์สินตามความประสงค์ของจำเลยที่ 4 จะต้องมีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 3 แปลงก่อนซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก และไม่เป็นประโยชน์แก่การบังคับคดี เพราะที่ดินบางแปลงที่แบ่งออกมาแล้วอาจมีราคาต่ำหรือขายไม่ได้ การขายรวมกันไปจะได้ราคาสูงกว่า และเป็นประโยชน์สูงสุด ส่วนการประเมินราคาของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ยังไม่เกิดข้อโต้แย้งที่จำเลยที่ 4 จะยื่นคำคัดค้านได้ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไปนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งชี้ขาดในเรื่องให้รวมหรือแยกทรัพย์สินขายทอดตลาด คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 วรรคสอง จำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหานี้ การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ปัญหานี้มาจึงไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่รับวินิจฉัย จำเลยที่ 4 จึงไม่มีสิทธิฎีกาปัญหานี้ การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาในปัญหานี้ของจำเลยที่ 4 เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาข้อต่อไปที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาดังกล่าวมา โดยไม่ไต่สวนและไม่มีคำสั่งให้เลื่อนคดีตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 4 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า เมื่อวินิจฉัยมาแล้วว่าคำสั่งชี้ขาดในเรื่องการให้รวมหรือแยกขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นประเด็นหลักถึงที่สุดแล้ว ปัญหาว่าศาลชั้นต้นไม่ได้ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 4 ก่อนมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวก็ดี ไม่มีคำสั่งให้เลื่อนคดีตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 4 ก็ดี ล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลชั้นต้นเพื่อนำไปสู่การโต้แย้งว่า คำสั่งชี้ขาดในเรื่องให้รวมหรือแยกทรัพย์สินขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เป็นที่สุดแล้วไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับการห้ามอุทธรณ์และฎีกาเช่นเดียวกัน คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุด การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับวินิจฉัย จึงเป็นการไม่ชอบ และที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาปัญหาข้อนี้มา จึงเป็นการไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 กับให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 4 คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้จำเลยที่ 4 ทั้งหมดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ