คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ แล้วตายลงภายหลังที่ศษลฎีกาได้ส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นเพื่อจะอ่านให้คู่ความฟังแล้วนั้น หาได้มีกฎหมายบัญญัติให้คดีอาญาระงับไปไม่ เมื่อคดีมาถึงศาลฎีกาและโจทก์ตายเมื่อได้ดำเนินคดีมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ศาลฎีกาย่อมดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเป็นอาญาสินไหมว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน และนางเยื้องจำเลยที่ ๒ เป็นน้องสาวนางยอมภริยาโจทก์ เมื่อเดือน ๔ พ.ศ. ๒๕๐๑ วันใดจำไม่ได้ เวลากลางวัน โจทก์กับนางยอมเอาเงินของโจทก์ ๕๐,๐๐๐ บาท ไปฝากจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองได้รับเก็บไว้ในหีบเหล็กและครอบครองดูแลรักษาไว้ให้โจทก์ และมอบลูกกุญแจแก่โจทก์ ๒ ลูก ต่อมาวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ พ.ศ. ๒๕๐๓ โจทก์ไปเอาเงินที่ฝากจำเลย ๒๐,๐๐๐ บาท รวมกับเงินที่อยู่ที่โจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท ไปถวายพระวิสุทธิพรหมจรรย์เพื่อสร้างกุฏิยังไม่พอ ขาดอีก ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงขอถวายเพิ่มเติม ครั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๕๐๓ โจทก์ไปเอาเงินที่ยังเหลือฝากจำเลยไว้อีกนั้น จำเลยไม่ให้เอาหีบเหล็กที่ใส่เงินไว้ไปเสีย จึงทราบว่าจำเลยทั้งสองเบียดบังยักยอกเอาเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ของโจทก์ไปโดยเจตนาทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘, ๘๓ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองปฏิเสธว่า ไม่เคยรับฝากเงินของโจทก์ โจทก์และนางยอมไม่เคยเอามาฝาก วันเดือน ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ โจทก์ไม่เคยเอาเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท หีบเหล็กของจำเลย นางยอมเอาไปจากจำเลยกว่า ๕ ปีแล้ว ไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เชื่อว่าโจทก์กับนางยอมภริยาเอาเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทไปฝากจำเลยทั้งสองจริง โจทก์เอาคืนมาแล้ว ๒๐,๐๐๐ บาท ยังเหลืออีก ๓๐,๐๐๐ บาท และฟังว่านางยอมเอาเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทนั้นไป ไม่ได้ความว่าจำเลยเบียดบังหรือร่วมกันให้นางยอมเอาเงินนั้นไป จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษและบังคับจำเลยคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า รูปคดียังฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้ฝากเงินจำเลย จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยยักยอกหรือไม่ พิพากษายืนในข้อให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช่ค่าทนายขั้นอุทธรณ์ ๓๐๐ บาทแทนจำเลย
โจทก์ฎีกาว่า พยานโจทก์พอฟังลงโทษจำเลยได้ ขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยและให้จำเลยใช้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาท และค่าธรรมเนียม ค่าทนาย รวม ๓ ศาลแก่โจทก์ โดยผู้พิพากษาผู้พิจารณาอนุญาตให้ฎีกาได้
ศาลฎีกาได้ส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟัง แต่ปรากฏว่านายปาน ทวีการ โจทก์ตายเสียก่อน พระครูอนุศาสน์วิษิษฐ์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ในวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๐๖ ว่าเป็นผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของผู้มรณะ ซึ่งศาลชั้นต้นได้ส่งมาให้ศาลฎีกาสั่ง แต่ศาลฎีกาเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวไม่แจ้งชัดว่าผู้ร้องประสงค์จะรับทรัพย์มรดกหรือมรดกความ จึงสั่งให้ศาลชั้นต้นสอบถาม ศาลชั้นต้นสอบถามแล้ว ผู้ร้องมีความประสงค์ขอรับมรดกความ ศาลชั้นต้นจึงได้ไต่สวนพยานผู้ร้องตามมาตรา ๔๓ วรรค ๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยสั่งไปแล้วว่า ผู้ร้องรับมรดกความได้แต่ในส่วนแพ่ง ในส่วนอาญานั้น ผู้ร้องมิใช่บุคคลตามที่มาตรา ๒๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาระบุไว้ จึงไม่มีสิทธิที่จะดำเนินคดีในส่วนอาญาต่างผู้ตายต่อไปได้ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องรับมรดกความได้แต่ในส่วนแพ่ง
ส่วนเรื่องที่โจทก์ตายภายหลังที่ศาลได้ส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟัง เช่นนี้ ศาลฎีกาจะดำเนินคดีอันเกี่ยวกับความผิดอันยอมความได้ต่อไปหรือไม่ สำหรับปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาได้ปรึกษาโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า คดีนี้ ถึงแม้จะเป็นความผิดอาญาอันยอมความกันได้ และโจทก์ได้ตายแล้วก็ตาม แต่หาได้มีกฎหมายบัญญัติว่าในคดีอาญานั้น เมื่อโจทก์ตายแล้วให้คดีระงับไปไม่ คงมีแต่ในเรื่องที่จำเลยตาย และในเรื่องที่ว่าเมื่อโจทก์ตาย ใครบ้างที่จะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๙ เท่านั้น แต่เมื่อคดีมาถึงศาลฎีกาแล้วและโจทก์ตาย เมื่อได้ดำเนินคดีมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้วเช่นนี้ ศาลฎีกาย่อมดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ในส่วนอาญาต่อไปได้
ซึ่งเมื่อศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว เชื่อเป็นความจริงว่า จำเลยทั้ง ๒ ได้กระทำผิดจริงดังโจทก์ฟ้อง จึงพิพากษากลับกว่าจำเลยทั้งสองผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๘๓ จำคุกไว้คนละ ๑ ปี ร่วมกันใช้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ ให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนาย ๓ ศาล ๖๐๐ บาทแก่โจทก์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษมาก่อน ให้รอการลงโทษจำคุกไว้กำหนด ๓ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖

Share