แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายมีข้อความว่า จำเลยเข้ากอดปล้ำถอดเสื้อผ้าและพยายามข่มขืนกระทำชำเรา กับได้ทำร้ายผู้เสียหายแต่พนักงานสอบสวนบันทึกระบุข้อหาไว้ว่า ให้ดำเนินคดีในข้อหากระทำอนาจารเท่านั้น ไม่ระบุข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเราด้วยการไม่ระบุพฤติการณ์ของจำเลยในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นความบกพร่องของพนักงานสอบสวน เมื่อพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนผู้เสียหายในเวลาต่อมา ผู้เสียหายก็ได้ระบุพฤติการณ์ของจำเลยที่ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายไว้ด้วยอย่างชัดแจ้ง ถือได้ว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ในความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 276, 278
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 276 ประกอบด้วยมาตรา 80 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ประกอบด้วย มาตรา 80 ให้จำคุก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง แต่คำร้องทุกข์ของผู้เสียหายตามเอกสารหมาย จ.6 มีข้อความว่าขอร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหากระทำอนาจารแก่บุคคลอายุเกินกว่าสิบสามปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย และแจ้งพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ขณะที่กอดปล้ำกันอยู่นั้นได้มีคนเดินทางมาที่ห้องที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายจึงหลบหนีออกมาได้และแจ้งให้เจ้าพนักงานจับกุมจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเรา พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ให้จำคุก ให้ยกฟ้องข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเรา
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเราด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่าการที่ผู้เสียหายให้การเรื่องจำเลยพยายามข่มขืนกระทำชำเราไว้ในชั้นสอบสวน และให้ดำเนินคดีแก่จำเลยนั้น ถือว่าเป็นการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราด้วย เพียงแต่บันทึกคำร้องทุกข์ตามเอกสารหมาย จ.6มีข้อความขาดตกบกพร่องไป ไม่ถึงกับถือว่าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาดังกล่าว พิเคราะห์แล้ว บันทึกการร้องทุกข์มอบคดีตามเอกสารหมาย จ.6 อันถือเป็นคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายมีข้อความว่า “ฯลฯ ขอร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่นายก๋องคำ สุวรรณ ในข้อหากระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบสามปี โดยใช้กำลังประทุษร้าย พฤติการณ์ความผิดที่เกิดขึ้นกล่าวคือ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2526 เวลาประมาณ 22.30 นาฬิกานายก๋องคำ สุวรรณ ได้ดึงตัวนางสาววัลยาฯ ผู้เสียหายเข้าไปในห้องพักเลขที่ 2505/441 ชั้น 6 แฟลต 8 ชั้น อาคาร 2 และได้เข้ากอดปล้ำถอดเสื้อผ้าและพยายามข่มขืนและได้ทำร้ายชกต่อยบริเวณคาง ฯลฯ” และผู้เสียหายได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.2 มีข้อความตอนหนึ่งว่า “นายก๋องคำได้ปิดประตูห้องดังกล่าวและกอดปล้ำข้าฯ ในห้อง ซึ่งขณะนั้นไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องแต่อย่างไรนายก๋องคำได้กอดปล้ำข้าฯ และพยายามถอดเสื้อผ้าของข้าฯ ออก ข้าฯก็ได้ดิ้นและต่อสู้ไม่ยอมให้นายก๋องคำกอดปล้ำข้าฯ แต่อย่างไร และนายก๋องคำได้ใช้มือข้างขวาชกข้าฯ ที่บริเวณปลายคางด้านซ้าย และได้ถอดเสื้อผ้าของข้าฯ ออกมา และได้ใช้อวัยวะเพศของนายก๋องคำมาทิ่มแทงบริเวณอวัยวะเพศของข้าฯ ขณะนั้นข้าฯ ได้ดิ้นและต่อสู้ตลอดเวลา ไม่ทราบว่าอวัยวะเพศของนายก๋องคำนี้ได้เข้าไปในอวัยวะเพศของข้าฯ หรือไม่อย่างไร” เห็นว่า ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้วว่าจำเลยได้พยายามข่มขืนกระทำชำเรา เพียงแต่พนักงานสอบสวนระบุข้อหาว่ากระทำอนาจารแก่บุคคลเกินกว่าสิบสามปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายเท่านั้น ไม่ระบุข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเราด้วย จะถือว่าผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ในข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเรายังไม่ถนัด แม้ว่าผู้เสียหายจะไม่ได้ระบุพฤติการณ์ของจำเลยในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม ก็เป็นความบกพร่องของพนักงานสอบสวนเองที่ซักถามผู้เสียหายถึงรายละเอียดดังกล่าว อย่างไรก็ตามเมื่อพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนผู้เสียหายในเวลาต่อมา ผู้เสียหายก็ได้ระบุพฤติการณ์ของจำเลยที่ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายไว้อย่างชัดแจ้ง ผลการสอบสวนปรากฏว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากการกระทำผิดของจำเลยในข้อหากระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย จึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ในความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 ประกอบด้วยมาตรา 80