คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5683/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องบรรยายไว้แล้วว่า ที่ปรากฏใน น.ส.3 ว่าที่ดินมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ เพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เจ้าของที่ดินมีกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกินคนละ 50 ไร่ ผู้ร้องจึงตกลงให้ใส่ชื่อจำเลยไว้แทนผู้ร้อง ดังนี้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายย่อมเป็นโมฆะกรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 113 ถือว่าไม่มีข้อตกลงดังกล่าว ที่ดินจึงเป็นของจำเลยซึ่งมีชื่อใน น.ส.3 ศาลชอบที่จะพิจารณาคำร้อง ของผู้ร้องแล้วมีคำวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีไปได้โดยไม่จำต้องทำการไต่สวนก่อน.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่าย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2369 อ้างว่าเป็นของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่พิพาทที่โจทก์นำยึดคดีนี้เป็นของผู้ร้องเหตุที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของเพราะที่ดินแปลงนี้อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน กฎหมายกำหนดให้เจ้าของมีกรรมสิทธิ์ได้คนละไม่เกิน50 ไร่ ผู้ร้องจึงได้ใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของแทนเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยที่พิพาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องแต่ใส่ชื่อจำเลยแทนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายให้ผู้ร้องมีสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปเกินกว่า 50 ไร่นั้น เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์นี้ จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามคำร้องของผู้ร้องเองระบุว่า กฎหมายกำหนดให้เจ้าของที่ดินมีกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 50 ไร่ ที่ผู้ร้องตกลงกับจำเลยเอาชื่อจำเลยไปใส่แทนจึงเป็นการตกลงที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นโมฆกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ถือได้ว่า ไม่มีข้อตกลงดังกล่าว การที่ผู้ร้องฎีกาขอให้ไต่สวนคำร้องเพื่อให้ได้ผลตามข้อตกลงที่เป็นโมฆะนั้นย่อมไม่อาจที่จะกระทำได้และเมื่อข้อความปรากฏชัดตามคำร้องของผู้ร้องอยู่แล้ว ศาลล่างทั้งสองจึงชอบที่จะพิจารณาคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีไปได้โดยไม่จำต้องทำการไต่สวนก่อน ส่วนฎีกาของผู้ร้องข้อที่ว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องนั้นเมื่อฟังฎีกาข้อแรกว่าข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นโมฆกรรมและไม่มีข้อตกลงในเรื่องที่ผู้ร้องใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของแทนแล้วจึงต้องถือว่าจำเลยซึ่งมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นเป็นเจ้าของที่ดิน ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษายกคำร้องชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share