คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีฟังได้เป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อป้องกัน แม้ในวันเกิดเหตุผู้ตายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุขับรถยนต์ปิกอัพแซงปาดหน้าจะให้รถยนต์เก๋งที่จำเลยที่ 1 นั่งมาชนกำแพงคอนกรีตกลางถนนหลายครั้ง ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะใช้อาวุธใดทำร้ายจำเลยที่ 1 หรือจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีอื่นอีก การที่ผู้ตายยังขับรถยนต์ปิกอัพตามมาชนท้ายรถยนต์เก๋งในซอยทั้งที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ปิกอัพแล้ว แม้จะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 เชื่อว่าผู้ตายจะตามมาทำร้าย แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 เปิดประตูรถยนต์เก๋งลงไปยืนที่พื้นข้างประตูรถด้านที่จำเลยที่ 1 นั่งและใช้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 พาติดตัวมายิงผู้ตายนั้น ผู้ตายก็ยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายช่วงแรก 2 นัด จนกระสุนปืนหมดแล้วกลับเข้าไปในรถยนต์เก๋งเอาอาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเก็บไว้ในรถวิ่งอ้อมท้ายรถยนต์ปิกอัพไปยืนที่ข้างประตูรถด้านที่ผู้ตายนั่งแล้วใช้อาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ยิงผู้ตายอีกหลายนัด จนผู้ตายถูกกระสุนปืนที่ด้านขวาของลำตัวถึง 5 นัด การยิงผู้ตายในช่วงหลัง จำเลยที่ 1 ย่อมมีเวลาใคร่ครวญตั้งสติได้แล้ว ทั้งขณะนั้นผู้ตายก็ยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะทำอันตรายใดแก่จำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๘ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายนายวิเชียร เบญจวรรณ ผู้ตายหลายนัดโดยเจตนาฆ่าถูกบริเวณใบหน้า ลำตัว ด้านหลัง ต้นแขนและหน้าอก จนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และจำเลยที่ ๒ พาอาวุธปืนสั้นขนาด ๙ มม. หมายเลขทะเบียน กท.๘๘๕๙๐๙ ซองบรรจุกระสุนปืน ๑ ซอง กระสุนปืนขนาด ๙ มม. ๘ นัด ซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนจากนายทะเบียนและเป็นของจำเลยที่ ๒ ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนดังกล่าวติดตัว ทั้งไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดอาวุธปืนสั้นขนาด .๓๘ หมายเลขทะเบียน กท.๓๕๑๙๔๔๑ ซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนจากนายทะเบียนและให้มีอาวุธปืนติดตัว ปลอกกระสุนปืนขนาด .๓๘ จำนวน ๕ ปลอก บรรจุอยู่ในโม่รังเพลิงอาวุธปืนดังกล่าว กระสุนปืนขนาด .๓๘ จำนวน ๑๑ นัด อยู่ในซองหนังสีดำและอาวุธปืนสั้นขนาด ๙ มม. หมายเลขทะเบียน กท. ๘๘๕๙๐๙ ของจำเลยที่ ๒ ซองหนัง ๑ ซอง กระสุนปืนขนาด ๙ มม. ๓ นัด ซองบรรจุกระสุนปืน ๑ ซอง กับได้กระสุนปืนขนาด .๓๘ จำนวน ๓ นัด ปลอกกระสุนปืนขนาด ๙ มม. ๕ ปลอก และหัวกระสุนปืน ๒ หัว ตกอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๓, ๙๑, ๒๘๘, ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและ สิ่งเทียมอาวุธปืน พ. ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๘ ทวิ , ๗๒ ทวิ และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางอุบล เบญจวรรณ มารดาผู้ตายและเด็กชายสหรัฐ เบญจวรรณหรือโซ๊ะประสิทธิ์ บุตร ผู้ตาย โดยนางนงนุช โซ๊ะประสิทธิ์ หรือเบญจวรรณ ผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ได้เฉพาะในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ให้เรียกนางอุบลว่าโจทก์ร่วมที่ ๑ และเรียกเด็กชายสหรัฐว่า โจทก์ร่วมที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๖๙ จำคุก ๒ ปี ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองสำหรับจำเลยที่ ๒ ริบของกลางยกเว้นอาวุธปืนขนาด ๙ มม. หมายเลขทะเบียน กท.๘๘๕๙๐๙ พร้อมซองหนัง ๑ ซอง กระสุนปืนขนาด ๙ มม. ๓ นัด ซองบรรจุกระสุนปืน ๑ ซอง และปลอกกระสุนปืนขนาด ๙ มม. ๕ ปลอก ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ
โจทก์ โจทก์ร่วมที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ. ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง , ๗๒ ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ลงโทษปรับ ๒,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ซึ่งวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ร่วมใช้อาวุธปืนยิงนายวิเชียร เบญจวรรณ ผู้ตายตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ ๒ คงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร และโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว
คดีมีปัญหาสู่ศาลฎีกาตามที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองไม่ได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ แต่อย่างใด คดีจึงฟังได้เป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ว่า การที่จำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อป้องกัน คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ ๑ เพียงว่า การที่จำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้นเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่
ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ คบกับผู้ตายแบบคู่รักและเคยลงทุนรับเหมาถมดินร่วมกัน จำเลยทั้งสองแต่งงานกันก่อนเกิดเหตุ ๓ วัน วันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกา จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์เก๋ง จำเลยที่ ๑ นั่งที่เบาะด้านหน้า โดยจำเลยที่ ๑ มีอาวุธปืนสั้นขนาด .๓๘ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนดังกล่าว และได้รับใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนติดตัว จำเลยที่ ๒ มีอาวุธปืนสั้นขนาด ๙ มม. ซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปด้วยจำเลยทั้งสองเบิกเงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา ปทุมธานี แล้วจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์เก๋งไปตามถนนติวานนท์มุ่งหน้าไปห้าแยกปากเกร็ด ขณะนั้นผู้ตายขับรถยนต์ปิกอัพ โดยมีนางนงนุช โซ๊ะประสิทธิ์ ภริยาผู้ตายอุ้มโจทก์ร่วมที่ ๒ ขณะเกิดเหตุอายุ ๒ ปีเศษ นั่งที่เบาะด้านหน้า นางมุทิตา ละโบ้ น้านางนงนุชนั่งอยู่เบาะหลังผู้ตายซึ่งขับรถยนต์ปิกอัพอยู่ด้านหลังได้ขับแซงทางด้านซ้ายแล้วปาดหน้ารถยนต์เก๋งที่จำเลยที่ ๒ ขับเพื่อให้ชนกำแพงคอนกรีตกลางถนน จำเลยที่ ๒ ชะลอความเร็วให้รถยนต์ปิกอัพแซงไป แต่ผู้ตายขับรถยนต์ปิกอัพปาดหน้าหลายครั้งจนรถยนต์ปิกอัพขวางหน้ารถยนต์เก๋ง ทำให้จำเลยที่ ๒ ต้องขับรถยนต์เก๋งถอยหลังออกมา จำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนสั้นยิงไปที่ยางรถยนต์ปิกอัพ ๒ ถึง ๓ นัด กระสุนปืนถูกล้อหลังด้านขวาเป็นเหตุให้ยางแตก จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์เก๋งหนีเข้าไปในถนนซอยปรากฏว่าเป็นทางตัน มีรั้วสังกะสีขวางอยู่ จำเลยที่ ๒ ลงจากรถไปที่รั้วสังกะสี ผู้ตายขับรถยนต์ปิกอัพตามมาชนท้ายรถยนต์เก๋งอย่างแรง จำเลยที่ ๑ จึงลงจากรถแล้วใช้อาวุธปืนสั้นของจำเลยที่ ๑ ยิงผู้ตายซึ่งยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ ๒ นัด จนกระสุนปืนหมด แล้วจำเลยที่ ๑ เอาอาวุธปืนสั้นของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเก็บไว้ในรถยนต์เก๋งมายิงผู้ตายอีกหลายนัดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในรถยนต์ปิกอัพโดยมีบาดแผลถูกกระสุนปืนเป็นทางเข้าที่ขมับซ้าย ๑ นัด และทางด้านขวาของลำตัว ๕ นัด ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเคยมุ่งหมายจะเอาชีวิตจำเลยที่ ๑ โดยขู่จะฆ่าตบตีและใช้อาวุธปืนจ่อที่ศีรษะจำเลยที่ ๑ มาก่อน วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ปิกอัพเป็นการปรามไม่ให้ผู้ตายขับรถติดตามแล้ว แต่ผู้ตายยังขับรถยนต์ปิกอัพติดตามมาชนท้ายรถยนต์เก๋งทั้งที่รู้ว่าจำเลยที่ ๑ มีอาวุธปืน แสดงว่าผู้ตายต้องมีอาวุธปืนหรืออาวุธที่เหนือกว่าเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ เชื่อว่าผู้ตายจะลงจากรถยนต์ปิกอัพมาฆ่า จำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัด เป็นการยิงอย่างต่อเนื่องในภาวะที่ตกใจกลัว จึงเป็นการกระทำไปพอสมควรแก่เหตุนั้น เห็นว่า แม้ในวันเกิดเหตุผู้ตายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุขับรถยนต์ปิกอัพแซงปาดหน้าจะให้รถยนต์เก๋งที่จำเลยที่ ๑ นั่งมาชนกำแพงคอนกรีตกลางถนนหลายครั้ง ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะใช้อาวุธใดทำร้ายจำเลยที่ ๑ หรือจะทำร้ายจำเลยที่ ๑ด้วยวิธีอื่นอีก การที่ผู้ตายยังขับรถยนต์ปิกอัพตามมาชนท้ายรถยนต์เก๋งในซอยทั้งที่จำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ปิกอัพแล้ว แม้จะเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ เชื่อว่าผู้ตายจะตามมาทำร้ายดังที่อ้าง แต่ขณะที่จำเลยที่ ๑ เปิดประตูรถยนต์เก๋งลงไปยืนที่พื้นข้างประตูรถด้านที่จำเลยที่ ๑ นั่ง และใช้อาวุธปืนที่จำเลยที่ ๑ พาติดตัวมายิงผู้ตายนั้นผู้ตายก็ยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ จำเลยที่ ๑ ยิงผู้ตายช่วงแรก ๒ นัด จนกระสุนปืนหมดแล้วกลับเข้าไปในรถยนต์เก๋งเอาอาวุธปืนของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเก็บไว้ในรถวิ่งอ้อมท้ายรถยนต์ปิกอัพไปยืนที่ข้างประตูด้านที่ผู้ตายนั่ง แล้วใช้อาวุธปืนของจำเลยที่ ๒ ยิงผู้ตายอีกหลายนัด จนผู้ตายถูกกระสุนปืนที่ด้านขวาของลำตัวถึง ๕ นัด การยิงผู้ตายในช่วงหลัง จำเลยที่ ๑ ย่อมมีเวลาใคร่ครวญตั้งสติได้แล้ว ทั้งขณะที่จำเลยที่ ๑ ยิงผู้ตายในช่วงหลังนั้นผู้ตายก็ยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะทำอันตรายใดแก่จำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ
พิพากษายืน

Share