คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ไปจากจำเลย แล้วชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดเวลาในสัญญา แม้จำเลยจะยอมรับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดด้วย โดยไม่ถือว่าการไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดในสัญญาเป็นการผิดสัญญาก็ตาม แต่ต่อมาจำเลยได้ไปยึดรถคืนเนื่องจากโจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อถึง 9 งวดโจทก์ยินยอมให้จำเลยนำรถกลับไป และทำบันทึกข้อตกลงกับจำเลยว่าโจทก์จะนำค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดไปชำระแก่จำเลยภายในเวลาที่กำหนด หากพ้นกำหนดถือว่าโจทก์สละสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างแก่จำเลยตามบันทึกข้อตกลงถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาเช่าซื้อกันตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอคืนค่าเช่าซื้อที่ชำระไปจากจำเลยและเรียกค่าเสียหาย คงมีสิทธิเรียกราคาตัวถังและดั๊มที่โจทก์ต่อ ขึ้นจากจำเลยได้เมื่อหักค่าเสื่อมราคาแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุก ๔ คันจากจำเลย โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยตรงตามกำหนดบ้าง ไม่ตรงบ้าง และมีการคิดดอกเบี้ยกันตามข้อตกลงตลอดมาจนถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๔ โจทก์ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ ๑๗ ให้แก่จำเลย รวมเป็นเงินที่ชำระทั้งสิ้น ๑,๒๔๑,๗๖๐ บาท ต่อมาวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยตามสัญญาแต่จำเลยผิดสัญญาไปยึดรถยนต์คืน โจทก์ขอรถคืนและขอชำระค่าเช่าซื้อต่อ จำเลยไม่ยอมและบอกให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่เหลืออีก ๑๗ งวดทั้งหมดให้แก่จำเลย และจำเลยขายรถยนต์ให้บุคคลอื่นการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญา ขอให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าซื้อ ๑,๒๔๑,๗๖๐ บาท ดอกเบี้ย ๑๔๗,๔๔๗ บาท ชดใช้ค่าทำตัวถังรถพร้อมดั๊ม ๔๔๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ย ๕๒,๒๕๐ บาท ค่าเสียหายที่ต้องเช่ารถยนต์อื่น ๓๕๒,๐๐๐ บาท กับให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของทุนทรัพย์ ๒,๒๓๓,๔๕๗ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อโดยค้างชำระค่าเช่าซื้อรวม ๑๐ งวด จำเลยทวงถามหลายครั้ง โจทก์ไม่ชำระ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและขอรถยนต์คืน โจทก์ยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญาและให้จำเลยนำรถกลับคืนโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ชำระมาแล้วและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย และจำเลยขอฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างรวมเป็นเงิน ๗๓๐,๔๘๐ บาท ค่าติดตามเอารถคืน ๘,๖๕๓ บาท ค่าเสียหายที่จำเลยชำระให้กรมทางหลวงเพราะโจทก์นำรถไปชนทรัพย์สินของกรมทางหลวงเป็นเงิน ๔๐,๒๑๐ บาท ขอให้บังคับโจทก์ชดใช้เงิน ๗๓๙,๓๔๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๑๔ ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่มีอำนาจเรียกเงินตามฟ้องแย้ง จำเลยชำระค่าเสียหายให้กรมทางหลวงตามอำเภอใจ โจทก์ไม่ต้องรับผิดชอบขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ ๖๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จ ชดใช้ค่าทำตัวถังรถและดั๊ม ๒๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จ ใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องไปเช่ารถอื่นเป็นเงิน ๖๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้โจทก์ชดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเป็นเงิน ๒๑๙,๑๔๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๑๔ ต่อเดือน นับแต่วันผิดนัดถึงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ ให้โจทก์ชำระค่าติดตามเอารถคืนและค่าเสียหายที่ต้องจ่ายให้กรมทางหลวงรวมเป็นเงิน ๔๘,๘๖๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ใช้เงินจำนวน ๑๐๘,๐๐๗ บาท แก่จำเลย พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของจำเลย ๔ คัน ค่าเช่าซื้อคันละ ๖๒๐,๘๘๐ บาท ชำระค่าเช่าซื้อเดือนละ ๑๘,๒๖๒ บาท มีกำหนด ๓๔ งวด โจทก์ได้นำรถไปต่อตัวถังและดั๊ม ต่อมาเดือนสิงหาคม ๒๕๒๔ จำเลยได้ยึดรถยนต์กลับคืน ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยไม่ตรงตามกำหนดเวลา จำเลยได้รับชำระค่าเช่าซื้อและคิดดอกเบี้ยค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ไม่ได้บอกเลิกสัญญาถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธิในการบอกเลิกสัญญา โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อถึงงวดที่ ๑๗ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๒๔ จำเลยได้ยึดรถยนต์คืนไป และไม่ยอมให้โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น ในปัญหาว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าในเดือนสิงหาคม ๒๕๒๔ โจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ ๙ งวด เป็นเงินคันละ ๑๗๖,๗๗๑ บาท จำเลยจึงให้นายอัมพรพนักงานเก็บเงินและเร่งรัดหนี้สินไปยึดรถคืน โจทก์ยินยอมให้นำรถยนต์กลับคืนไปโดยมีข้อตกลงกันใหม่ว่าโจทก์จะนำค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดมาชำระแก่จำเลยภายใน ๒๕ กันยายน ๒๕๒๔ หากพ้นกำหนดถือว่าโจทก์สละสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดแก่จำเลยตามบันทึกข้อตกลง แต่ขอตัวถังรถคืน ถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาเช่าซื้อกันตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอคืนค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไปจากจำเลยและเรียกค่าเสียหาย และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายต่อไป อย่างไรก็ตาม โจทก์มีสิทธิเรียกราคาตัวถังและดั๊มคืนจากจำเลยได้ เมื่อหักค่าเสื่อมราคาแล้ว
พิพากษายืน.

Share