แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เช่าซื้อรถยนต์ไปจากจำเลย แล้วชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดเวลาในสัญญา แม้จำเลยจะยอมรับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดโดยไม่ถือว่าการไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดในสัญญาเป็นการผิดสัญญาก็ตาม แต่ต่อมาจำเลยได้ไปยึดรถยนต์คืนเนื่องจากโจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อถึง 9 งวด โจทก์ยินยอมให้จำเลยนำรถยนต์กลับไป และทำบันทึกข้อตกลงกับจำเลยว่าโจทก์จะนำค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดไปชำระแก่จำเลยภายในเวลาที่กำหนด หากพ้นกำหนดถือว่าโจทก์สละสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างแก่จำเลยตามบันทึกข้อตกลง ถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาเช่าซื้อกันตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอคืนค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย คงมีสิทธิเรียกราคาตัวถังและดั๊มที่โจทก์ต่อขึ้นจากจำเลยได้เมื่อหักค่าเสื่อมราคาแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกยี่ห้อฮีโน 4 คัน ค่าเช่าซื้อคันละ 620,880 บาท กับจำเลย โดยผ่อนชำระราคาคันละ 18,262 บาท รวม 34 เดือน เดือนแรกชำระในวันที่ 5 มกราคม 2523 เดือนต่อไปชำระทุกวันที่ 5 ของเดือนจนครบหากผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตรงตามเวลา โจทก์จะต้องชำระดอกเบี้ยในค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระให้แก่จำเลย โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยตามข้อตกลงตลอดมาจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2524โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 17 ให้แก่จำเลย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,241,760 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2524 โจทก์ได้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยตามสัญญาและข้อตกลง แต่จำเลยผิดสัญญา ได้ไปยึดรถยนต์ที่โจทก์เช่าซื้อไปและบอกให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้ออีก 17งวดทั้งหมดให้แก่จำเลย ซึ่งไม่ชอบด้วยข้อสัญญาที่ตกลงกันไว้ และจำเลยได้ขายรถยนต์ทั้งสี่คันให้บุคคลอื่นไป การกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อจำเลยจะต้องคืนรถยนต์ทั้งสี่คันแก่โจทก์และรับชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวด ๆ ต่อไป แต่สภาพไม่เปิดช่องให้กระทำได้เพราะจำเลยได้ขายรถยนต์ทั้งสี่คันไปแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงิน1,241,760 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2524 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี 7เดือน เป็นเงิน 147,447 บาท แก่โจทก์และโจทก์ได้รับจ้างเหมาสร้างทางจะต้องใช้รถยนต์บรรทุกวัสดุในการสร้างทางจึงต้องเช่ารถยนต์บรรทุกจากบุคคลอื่นมาใช้ในการก่อสร้างทางต้องเสียค่าเช่าวันละ 8,000 บาทเวลา 44 วัน เป็นเงิน 352,000 บาท และโจทก์ต้องไปทำตัวถังเหล็กให้ยกเทได้เพื่อใช้ในการบรรทุกวัสดุต้องเสียค่าจ้างเหมาทำตัวถังและทำดั๊มรถยนต์ทั้งสี่คันเป็นเงิน 440,000 บาท จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2524 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน52,250 บาท ขอให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าซื้อ 1,241,760 บาทกับดอกเบี้ย 147,447 บาท รวมเป็นเงิน 1,389,207 บาท ชดใช้เงินค่าทำตัวถังรถพร้อมดั๊ม 440,000 บาท กับดอกเบี้ย 52,250 บาทรวมเป็นเงิน 492,250 บาท ค่าเสียหายที่ต้องเช่ารถยนต์อื่น 352,000บาท และให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของทุนทรัพย์2,203,457 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้ตรงตามเวลากำหนด ค้างชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยเพียง 10 งวด ค้างชำระค่าเช่าซื้อถึงงวดเดือนสิงหาคม 2524 รวม 10 งวด จำเลยได้ทวงถามหลายครั้งโจทก์ไม่จัดการชำระ จำเลยจึงได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและขอรถยนต์พิพาทคืน โจทก์ยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา และให้จำเลยนำรถกลับคืน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระมาแล้วและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย และตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์จะต้องชำระบรรดาเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระให้แก่จำเลย จำเลยจึงฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้องวดเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคมมิถุนายน กรกฎาคม กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน 2523 เดือนมกราคมมิถุนายน และสิงหาคม 2524 งวดละ 18,262 บาทต่อคัน 4 คันรวมเป็นเงิน 730,480 บาท และโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ขอให้โจทก์ชดใช้เงิน 739,343 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1.14 ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ให้จำเลยไป 17 งวด รวมเป็นเงิน 1,241,760 บาท ค่าเช่าซื้องวดประจำเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม กันยายนตุลาคม พฤศจิกายน 2523 และเดือนมกราคม มิถุนายน 2524 โจทก์ได้จัดการชำระให้จำเลยรับไปแล้ว ครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 15-16กรกฎาคม 2524 เป็นงวดที่ 17 ชำระ 73,048 บาท จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ 600,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2524 จนกว่าจะชำระเสร็จชดใช้ค่าทำตัวถังรถและดั๊ม 280,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2524 จนกว่าจะชำระเสร็จใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องไปเช่ารถอื่นเป็นเงิน 63,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 15 กันยายน 2524จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้โจทก์ชดใช้เงินค่าเช่าซื้องวดที่ค้างชำระเป็นเงิน 219,144 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.14ต่อเดือน นับแต่วันผิดนัดถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2524 ให้โจทก์ชำระค่าติดตามเอารถคืนและค่าเสียหายที่ต้องจ่ายให้กรมทางหลวงรวมเป็นเงิน 48,863 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2524 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ใช้เงินจำนวน 108,007 บาท แก่จำเลย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2524จนกว่าจะชำระเสร็จโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21พฤศจิกายน 2522 โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของจำเลย 4 คันค่าเช่าซื้อคันละ 620,880 บาท ชำระค่าเช่าซื้อเดือนละ 18,262 บาทมีกำหนด 34 งวด ปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.4 ถึง ล.7โจทก์ได้นำรถไปต่อตัวถังและดั๊ม ต่อมาเดือนสิงหาคม 2524 จำเลยได้ยึดรถยนต์กลับคืนปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยไม่ตรงตามกำหนดเวลาจำเลยได้รับชำระค่าเช่าซื้อและคิดดอกเบี้ยค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไม่ได้บอกเลิกสัญญาถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธิในการบอกเลิกสัญญาโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อถึงงวดที่ 17 ในเดือนสิงหาคม 2524 จำเลยได้ยึดรถยนต์คืนไปและไม่ยอมให้โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญานั้นในปัญหาว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญานายซวง ปัญจมาภิรมย์ ผู้จัดการของโจทก์เบิกความว่า โจทก์ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาพิจิตร 12 ฉบับ ฉบับละ73,048 บาท ชำระค่าเช่าซื้อมอบให้จำเลย จำเลยรับเงินได้ฉบับเดียวคืองวดที่ 1 ประจำเดือนมกราคม 2523 ตามภาพถ่ายเช็คหมาย จ.17งวดที่ 2 ที่ 3 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาวันที่ 5 เมษายน2523 จำเลยได้มีหนังสือทวงถามตามเอกสารหมาย จ.18 ถึง จ.21โจทก์ได้นำเงินไปชำระให้จำเลยและงวดที่ 4 ประจำเดือนเมษายน2523 ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินอีกโจทก์ได้ชำระโดยโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.22 ค่าเช่าซื้อประจำเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม 2523 โจทก์ได้นำเงินสดไปชำระให้จำเลยแต่จำเลยไม่ได้ออกใบเสร็จรับเงิน โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อในปี 2524ถึงงวดที่ 17 ประจำเดือนพฤษภาคม 2524 ตามเอกสารหมาย จ.56 ถึง จ.59โดยชำระเมื่อวันที่ 15 และวันที่ 16 กรกฎาคม 2524 ซึ่งเกินกำหนดตามสัญญา 2 เดือน และค่าเช่าซื้องวดที่ 18 และ 19 ประจำเดือนมิถุนายน เดือนกรกฎาคม 2524 โจทก์ยังไม่ได้ชำระ เห็นว่า แม้จำเลยจะยอมรับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดด้วยโดยไม่ถือว่าการไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดในสัญญาเป็นการผิดสัญญาก็ตาม แต่ในเดือนสิงหาคม 2524 จำเลยได้ยึดรถคืนเนื่องจากโจทก์ผู้เช่าซื้อค้างชำระค่าเช่าซื้อ 9 งวด นายซวงกรรมการผู้จัดการของโจทก์ยินยอมให้จำเลยนำรถกลับไปและได้ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ที่นายซวงเบิกความว่าได้เซ็นชื่อในเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 โดยไม่ได้กรอกข้อความนั้นหากโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อถึงเดือนมกราคม 2524 ไม่ได้ติดค้างแล้วเหตุใดนายซวงยินยอมให้นายอัมพรเจ้าหน้าที่ของจำเลยยึดรถยนต์กลับไปนายอัมพร บางหลวง พนักงานเก็บเงินและเร่งรัดหนี้สินของจำเลยเบิกความว่า ได้ทำการตรวจสอบสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อ11 งวดคงค้างชำระอยู่ 9 งวดเศษ คันละ 176,771 บาท พยานได้ไปพบนายซวงขอยึดรถคืน นายซวงยินยอมให้ยึดรถคืนตามเอกสารหมายล.1 ถึง ล.3 ดังนั้น คำเบิกความของนายซวงจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะเชื่อถือได้ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้คัดค้านการนำสืบเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ว่าจำเลยไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ก่อนวันสืบพยาน ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวไม่ชอบนั้น เห็นว่า จำเลยได้ยื่นบัญชีพยานเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2526 และได้ส่งสำเนาเอกสารแก่โจทก์พร้อมส่งต้นฉบับต่อศาลเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2526 ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ซึ่งนำสืบก่อนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 จำเลยจึงอ้างและส่งสำเนาเอกสารแก่โจทก์ก่อนวันสืบพยานแล้ว ศาลย่อมรับฟังเอกสารนี้ได้ จากพยานหลักฐานดังกล่าวน่าเชื่อว่าในเดือนสิงหาคม 2524โจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ 9 งวด เป็นเงินคันละ 176,771 บาทจำเลยจึงได้ให้นายอัมพร พนักงานเก็บเงินและเร่งรัดหนี้สินไปยึดรถคืน โจทก์ยินยอมให้นำรถกลับคืนไป โดยมีข้อตกลงกันใหม่ว่าโจทก์จะนำค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดมาชำระแก่จำเลยภายในวันที่ 25กันยายน 2524 หากพ้นกำหนดถือว่าโจทก์สละสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อปรากฏตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดแก่จำเลยตามบันทึกข้อตกลงแต่ขอตัวถังรถคืน ถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาเช่าซื้อกันตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอคืนค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไปจากจำเลยและเรียกค่าเสียหายและไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายต่อไป อย่างไรก็ตามโจทก์มีสิทธิเรียกราคาตัวถังและดั๊มคืนจากจำเลยได้ เมื่อหักค่าเสื่อมราคาแล้ว”
พิพากษายืน