แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เรื่องอุทธรณ์คำสั่งบรรจุแต่งตั้งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าทำงาน แม้ข้อความโดยรวมเป็นการกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านโตนดและเป็นผู้บริหารสูงสุดของเทศบาลตำบลบ้านโตนดว่ารับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานเทศบาลไม่โปร่งใส เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นซึ่งไม่เป็นความจริง อันเป็นการใส่ความผู้เสียหายก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำต่อบุคคลที่สาม กลับได้ความเพียงว่า ก. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลบ้านโตนดไปพบหนังสือร้องเรียนดังกล่าวที่หน้าคอมพิวเตอร์ห้องงานคลังด้วยตนเอง โดยจำเลยมิได้นำออกมาแสดงต่อ ก. เพื่อให้ทราบข้อความในเอกสารนั้น ส่วน ศ. พนักงานขับรถของผู้เสียหายก็เพียงแต่สงสัยว่าจำเลยจะเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนดังกล่าวเท่านั้น ทั้งจำเลยยังไม่ได้ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยทราบ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 6 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จำคุก 3 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งในชั้นฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านโตนด จำเลยเคยเป็นพนักงานอัตราจ้างและได้ลาออกไปก่อนเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุจำเลยเข้าไปใช้คอมพิวเตอร์ที่ห้องงานคลังของเทศบาลตำบลบ้านโตนด ต่อมาผู้เสียหายเข้าไปในห้องดังกล่าวแล้วแย่งเอกสารหมาย จ.2 จากจำเลย ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีข้อความเกี่ยวกับการร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยว่ามีผู้ใช้อำนาจหน้าที่รับสมัครพนักงานเทศบาลโดยไม่ชอบ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยหมิ่นประมาทผู้เสียหายตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า เดือนตุลาคม 2551 เทศบาลตำบลบ้านโตนดประกาศรับสมัครพนักงานอัตราจ้างหลายตำแหน่ง แต่จำเลยไม่ได้สมัคร วันเกิดเหตุเวลาบ่าย นายศรีพล พนักงานขับรถโทรศัพท์แจ้งผู้เสียหายว่าจำเลยพิมพ์หนังสือร้องเรียนที่คอมพิวเตอร์ในห้องงานคลัง ผู้เสียหายเดินทางไปที่เทศบาลตำบลบ้านโตนด พบจำเลยยืนอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องงานคลังในมือถือเอกสารหมาย จ.2 ผู้เสียหายขอดูแต่จำเลยไม่ยอม ผู้เสียหายจึงแย่งเอกสารมาดูพบว่าเป็นข้อความหมิ่นประมาทผู้เสียหาย ผู้เสียหายถามจำเลยพิมพ์ทำไม จำเลยบอกเป็นสิทธิของตน มีการโต้เถียงกันเสียงดัง ปลัดเทศบาลบอกให้ไปคุยที่ห้องปลัดเทศบาล และเรียกนางเนาวรัตน์ หัวหน้างานคลังมาพบ จำเลยรับว่าเป็นผู้พิมพ์ ส่วนนางเนาวรัตน์อ้างว่าไม่เกี่ยวข้อง หลังออกจากห้องปลัดเทศบาล ผู้เสียหายถามเจ้าหน้าที่ว่าใครได้อ่านเอกสารดังกล่าวบ้าง ส่วนใหญ่บอกไม่ได้อ่านมีแต่นางกสิตราบอกว่าได้อ่าน ผู้เสียหายเห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาทจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่จำเลย นายศรีพลเบิกความว่า วันเกิดเหตุตอนบ่าย นายศรีพลนั่งอยู่ที่บันไดทางขึ้นเทศบาลเห็นจำเลยนั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์ที่ห้องงานคลัง จำเลยมีประวัติชอบร้องเรียน นายศรีพลเห็นจำเลยถือเอกสารมีนางพิมพรและนางเนาวรัตน์ยืนดูอยู่ มีการพูดคุยกัน นายศรีพลจึงเดินไปสะกิดนางกสิตรา และนางกสิตราให้นายศรีพลโทรศัพท์แจ้งผู้เสียหายว่าจำเลยเหมือนกับพิมพ์หนังสือร้องเรียนอยู่ หลังจากนั้นผู้เสียหายมา มีการพูดโต้เถียงกัน และนางกสิตราเบิกความว่า นางกสิตรา เป็นเจ้าพนักงานพัสดุ ระดับ 5 วันเกิดเหตุนายศรีพลมาบอกว่าเห็นจำเลยพิมพ์หนังสือเหมือนกับเป็นเรื่องร้องเรียน ให้นางกสิตราไปดูที่ห้องงานคลัง นางกสิตราเดินไปที่ห้องงานคลัง ขณะนั้นไม่พบจำเลย พบมีกระดาษวางอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ 1 แผ่น นางกสิตราอ่านมีข้อความร้องเรียนผู้เสียหายเหมือนกับเอกสารหมาย จ.2 ขณะนั้นในห้องงานคลังมีนางพิมพรและนางชนัญญานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน จากนั้นนางกสิตราเดินกลับห้องพัสดุ สักครู่นางกสิตราเดินกลับไปที่ห้องงานคลังพบจำเลยนั่งอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ในมือถือเอกสาร 1 แผ่น นางกสิตราแกล้งทำทีไปหาฎีกาเพื่อดูว่ามีเอกสารวางที่โต๊ะคอมพิวเตอร์หรือไม่ เมื่อนางกสิตรากลับมาที่ห้องพัสดุผู้เสียหายก็เข้ามา นางกสิตราบอกว่าเอกสารดังกล่าวอยู่ในมือจำเลย ผู้เสียหายจึงเดินไปที่ห้องงานคลังและมีการพูดโต้เถียงกันเสียงดัง แม้โจทก์ไม่มีใครเห็นจำเลยนั่งอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์พิมพ์อะไร มีเพียงผู้เสียหายและนางกสิตราเบิกความว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นผู้พิมพ์เอกสารหมาย จ. 2 แต่ช่วงเวลาที่จำเลยนั่งอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ในห้องงานคลังเป็นเวลานานพอสมควรจนกระทั่งผู้เสียหายมาพบจำเลยในมือถือเอกสารหมาย จ.2 และจากคำให้การในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของจำเลยยอมรับว่าได้อ่านเอกสารหมาย จ.2 และพบข้อความที่พิมพ์ผิดจึงแก้ไขข้อความ ทั้งที่จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องกระทำการดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนเอกสารหมาย จ.2 เมื่อพิจารณาเอกสารหมาย จ.2 เป็นหนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เรื่องอุทธรณ์คำสั่งบรรจุแต่งตั้งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าทำงาน ซึ่งแม้ข้อความโดยรวมเป็นการกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านโตนดและเป็นผู้บริหารสูงสุดของเทศบาลตำบลบ้านโตนดว่า รับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานเทศบาลไม่โปร่งใส เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นซึ่งไม่เป็นความจริง อันเป็นการใส่ความผู้เสียหายก็ตามแต่ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำต่อบุคคลที่สาม กลับได้ความเพียงว่า นางกสิตราไปพบเอกสารหมาย จ.2 ที่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง โดยจำเลยมิได้นำออกมาแสดงต่อนางกสิตราเพื่อให้ทราบข้อความในเอกสารนั้น ส่วนนายศรีพลเพียงแต่สงสัยว่าจำเลยจะพิมพ์เอกสารหมาย จ.2 เท่านั้น อีกทั้งจำเลยยังไม่ได้ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยทราบ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าพฤติการณ์ที่จำเลยไปพิมพ์เอกสารหมาย จ.2 ในห้องงานคลังซึ่งมีพนักงานอยู่ในห้องหลายคนแล้วยังมีพนักงานอื่นเข้าออกสามารถเห็นหรืออ่านเอกสารดังกล่าวได้ จึงเป็นการกระทำที่เล็งเห็นผลได้ว่ามีบุคคลที่สามได้รู้เห็น ถือว่าเป็นการใส่ความต่อบุคคลที่สามครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทและพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ยกฟ้อง