คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2151/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องต่อไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 165 วรรคสาม ตอนท้าย บัญญัติว่า ก่อนที่ศาลประทับฟ้อง มิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น ฉะนั้น ในชั้นนี้จำเลยจึงไม่มีฐานะเป็นคู่ความ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 187, 83 และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีดังกล่าว
วันที่ 10 พฤษภาคม 2544 อันเป็นวันนัดไต่สวนมูลฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องเพียงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้แล้ว งดการไต่สวนมูลฟ้อง นัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งในวันที่ 15 พฤษภาคม 2544
วันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านผู้พิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องต่อไป แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องราษฎรฟ้องความอาญาต่อศาล เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคสาม ตอนท้าย บัญญัติว่าก่อนที่ศาลประทับฟ้อง มิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น ฉะนั้นในชั้นนี้จำเลยจึงไม่มีฐานะเป็นคู่ความ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องต่อไป เป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยทั้งสามเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสาม.

Share