คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลล้มละลายกลางและให้ศาลล้มละลายกลางดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดย่อมถูกเพิกถอนไป และต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เฉพาะในส่วนที่ผิดพลาดและถูกเพิกถอนเท่านั้น กระบวนพิจารณาในส่วนนี้ย่อมนำ ป.วิ.พ. มาใช้ได้แต่ในคดีล้มละลายยังมีกระบวนพิจารณาโดยเฉพาะซึ่งมีความแตกต่างไปจากคดีแพ่งทั่วไปตามที่ พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 6 บัญญัติไว้ ซึ่งอาจกระทำโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือเริ่มต้นที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ได้หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วเมื่อคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องไม่มีส่วนใดที่ผิดกฎหมาย จึงไม่ถูกเพิกถอนและยังคงมีผลใช้ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลล้มละลายกลางแล้วต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งใหม่โดยมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเช่นเดิม คำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ยื่นไว้เดิมจึงยังคงมีผลใช้ได้โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่
ในคดีล้มละลายเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามคำสั่งศาลล้มละลายกลางอีกครั้งหนึ่งนั้น การโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในครั้งที่สองนี้มีความประสงค์เพียงเพื่อให้เจ้าหนี้ที่จำเลยทั้งสองไปก่อหนี้สินขึ้นภายหลังวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลล้มละลายกลาง จนถึงวันก่อนวันอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองของศาลล้มละลายกลางมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้เท่านั้นเมื่อผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้วในคราวโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ครั้งแรกจึงถือได้ว่ายื่นคำขอใว้แล้วก่อนระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองสิ้นสุดลง ผลของการยื่นคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องจึงยังคงมีอยู่โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2543 ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีและให้ยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ให้ศาลล้มละลายกลางดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไปแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2544
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2543 ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านแล้วต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ให้ศาลล้มละลายกลางดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไปแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2544 โดยผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่ ผู้คัดค้านพิจารณาคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องซึ่งยื่นไว้ตั้งแต่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งแรกและมีคำสั่งว่า คดีนี้เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2543 ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเจ้าหนี้รายที่ 3 ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีและขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลล้มละลายกลางยกคำร้อง จำเลยทั้งสองได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีและให้ยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ให้ศาลล้มละลายกลางดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่เมื่อมีการพิจารณาคดีใหม่ก็ถือเสมือนว่าคำสั่งหรือคำพิพากษาเดิมเพิกถอนไปในตัวรวมทั้งคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ได้ยื่นไว้ด้วย ต่อมาเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอีกครั้งในวันที่ 19 ตุลาคม 2544 ผู้ร้องชอบที่จะต้องมายื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่ตามมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 เมื่อผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาจึงไม่มีสิทธิจะได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง ให้จำหน่ายคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง ผู้ร้องเห็นว่าคำสั่งของผู้คัดค้านเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้วจึงไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่อีก ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ให้จำหน่ายคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง และมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านให้ผู้คัดค้านดำเนินการเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องต่อไป คำขอนอกจากนี้ให้ยก
ผู้คัดค้านอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดแล้ว ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ให้ศาลล้มละลายกลางดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไปแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ เมื่อศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเป็นครั้งที่สอง คำขอรับชำระหนี้ที่ผู้ร้องยื่นไว้ตั้งแต่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งแรกจะยังคงมีผลใช้ได้โดยผู้ร้องไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่หรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ผู้คัดค้านกล่าวในอุทธรณ์ว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พศ.2542 มาตรา 14 ยกคำสั่งศาลล้มละลายกลางแล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลล้มละลายกลางเพื่อให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ มีผลทำให้กระบวนพิจารณาในศาลล้มละลายกลางนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีตลอดจนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ต้องถูกเพิกถอนไปในตัว ผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจดำเนินการเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ได้ยื่นไว้ต่อไปได้เห็นว่าที่ผู้คัดค้านอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) มาใช้ในคดีล้มละลายก็โดยอาศัยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ซึ่งให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม ฉะนั้น จึงนำมาใช้ได้เท่าที่ไม่ขัดกับกฎหมายล้มละลายกล่าวคือ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลล้มละลายกลางและให้ศาลล้มละลายกลางดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดย่อมถูกเพิกถอนไป และต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เฉพาะในส่วนที่ผิดพลาดและถูกเพิกถอนเท่านั้น กระบวนพิจารณาในส่วนนี้ย่อมนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้ได้ แต่ในคดีล้มละลายยังมีกระบวนพิจารณาโดยเฉพาะซึ่งมีความแตกต่างไปจากคดีแพ่งทั่วไปตามที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 6 บัญญัติไว้ว่า “กระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย” หมายความว่า กระบวนพิจารณาซึ่งบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะกระทำต่อศาลหรือต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตั้งแต่เริ่มคดีจนถึงคดีสิ้นสุด ฉะนั้น กระบวนพิจารณาในคดีล้มละลายจึงอาจกระทำโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือเริ่มต้นที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ได้หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เช่น กรณีคำขอรับชำระหนี้เช่นคดีนี้และกรณีอื่นๆ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กระบวนพิจารณาเหล่านี้ย่อมดำเนินต่อไปได้ตามวิธีพิจารณาคดีล้มละลายในเรื่องนั้นๆ โดยไม่ต้องไปเริ่มต้นกระบวนพิจารณาเหล่านั้นใหม่ในกรณีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเปลี่ยนแปลงไปโดยผลของคำพิพากษาศาลสูง เว้นแต่กรณีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสิ้นผลไปโดยคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลสูง กรณีคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องไม่มีส่วนใดที่ผิดกฎหมาย จึงไม่ถูกเพิกถอนไปด้วยและยังคงมีผลใช้ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลล้มละลายกลาง แล้วต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งใหม่โดยมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเช่นเดิม คำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ยื่นไว้เดิมจึงยังคงมีผลใช้ได้โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่ ส่วนข้อที่ผู้คัดค้านโต้แย้งว่า ในการขอรับชำระหนี้ ผู้ขอรับชำระหนี้จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 91 โดยเคร่งครัด กล่าวคือ จะต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เดิมจึงถูกเพิกถอนไปในตัว ผู้ร้องจะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่หลังจากวันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สอง การที่ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ในคราวโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งแรก ถือได้ว่าผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำขอรับชำระหนี้เข้ามาในคดีนี้ เห็นว่า ในคดีล้มละลายเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ กล่าวคือ ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอันเป็นกำหนดระยะเวลาให้กระทำก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้สิ้นสุดลงเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว เจ้าหนี้ย่อมหมดสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ สำหรับคดีนี้การที่ผู้คัดค้านโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามคำสั่งศาลล้มละลายกลางอีกครั้งหนึ่งนั้น การโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในครั้งที่สองนี้มีความประสงค์เพียงเพื่อให้เจ้าหนี้ที่จำเลยทั้งสองไปก่อหนี้สินขึ้นภายหลังวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลล้มละลายกลางจนถึงวันก่อนวันอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองของศาลล้มละลายกลางมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้เท่านั้น ดังนั้น ผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้วในคราวโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ครั้งแรก จึงถือว่าได้ยื่นคำขอไว้แล้วก่อนระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองสิ้นสุดลง ผลของการยื่นคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องจึงยังคงมีอยู่โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่ ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านดำเนินการเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องต่อไปนั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share