คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2056/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลย มีเนื้อที่ 20 ตารางวา ราคาประเมินตารางวาละ 1,250 บาท คิดเป็นทุนทรัพย์พิพาท 25,000 บาท ดังนี้ทุนทรัพย์พิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยตามคำฟ้องและฟ้องแย้งในชั้นอุทธรณ์จึงไม่เกิน 50,000 บาท คู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดินในส่วนที่พิพาทกับโจทก์ที่ 2 เป็นที่ดินของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่พิพาทกับโจทก์ที่ 2 และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่โต้แย้งว่าที่ดินในส่วนที่พิพาทกับโจทก์ที่ 2 เป็นที่ดินของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 91 เลขที่ดิน 82 ตำบลศาลาด่าน อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า ให้จำเลยรื้อถอนแนวรั้ว สิ่งปลูกสร้างขนย้ายวัสดุออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การ ฟ้องแย้งและแก้ไขคำฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ทั้งห้าและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท และให้โจทก์ทั้งห้ารื้อถอนต้นไม้ ดอกไม้และวัสดุต่างๆ ออกไปจากที่ดินพิพาท ให้โจทก์ทั้งห้าร่วมกันชำระค่าเสียหาย 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จและชำระค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ทั้งห้าให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา นายเกษม ประชากิจกุล ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 91 เลขที่ดิน 82 ตำบลศาลาด่าน อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ส่วนที่ออกทับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 282 เลขที่ดิน 131 และเลขที่ 284 เลขที่ดิน 133 ตำบลศาลาด่าน อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ ให้จำเลยรื้อถอนรั้วสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายวัสดุสิ่งของต่างๆ ออกไปจากที่ดินพิพาท กับห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 คนละ 2,580 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 500 บาท และโจทก์ที่ 3 จำนวน 3,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 เดือนละ 100 บาท และโจทก์ที่ 3 เดือนละ 600 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 2และที่ 3 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกคำร้องสอดของโจทก์ร่วมและฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามที่จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 หรือจำเลยนั้น เห็นว่า ที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยมีเนื้อที่ 20 ตารางวา ราคาประเมินตารางวาละ 1,250 บาท คิดเป็นทุนทรัพย์พิพาท 25,000 บาท ดังนี้ ทุนทรัพย์พิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยตามคำฟ้องและฟ้องแย้งในชั้นอุทธรณ์จึงไม่เกิน 50,000 บาท คู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดินในส่วนที่พิพาทกับโจทก์ที่ 2 เป็นที่ดินของจำเลย เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่พิพาทกับโจทก์ที่ 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 8 รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่โต้แย้งว่าที่ดินในส่วนที่พิพาทกับโจทก์ที่ 2 เป็นที่ดินของจำเลย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้…”
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้แก่จำเลยจำนวน 51,875 บาท

Share