แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุผู้ร้องให้บริษัท อ. เช่ารถยนต์บรรทุกของกลางไป และเนื่องจากเป็นการเช่ารถพร้อมพนักงานขับรถมีกำหนด 1 ปี ชำระค่าเช่าเป็นรายเดียน เจ้าของรถผู้ให้เช่าย่อมไม่ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการที่รถต้องบรรทุกน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะไม่ได้คิดค่าเช่าตามอัตราน้ำหนักบรรทุก ทั้งยังมีข้อสัญญาห้ามผู้เช่านำรถที่เช่าไปใช้ในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย ผู้ร้องจึงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 61, 73 และให้ริบรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 73 – 1821 กรุงเทพมหานคร ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางซึ่งบริษัทเอ็กซ์เซลเมทัล ฟอจจิ้ง จำกัด เช่าไป ผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลาง ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 73 – 1821 กรุงเทพมหานคร ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 73 – 1821 กรุงเทพมหานคร ของกลางมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ ผู้ร้องมีนายประกิต ปัทมวรกุลชัย กรรมการของผู้ร้องนางสาวฐิติรัตน์ นพวรประเสริฐ กับนายอำนวย สามพันพ่วง พนักงานของผู้ร้องนายชัยรัตน์ เหล็กเพชร ผู้จัดการบริษัทเอ็กซ์เซล เมทัล ฟอจจิ้ง จำกัด และจำเลยเป็นพยานเบิกความประกอบหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าเอกสารหมาย ร.3 หนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย ร.5 และใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ป.ร.1 ถึง ป.ร.4 ได้ความว่า ระหว่างเกิดเหตุผู้ร้องได้ให้บริษัทเอ๊กซ์เซล เมทัล ฟอจจิ้ง จำกัด เช่ารถยนต์บรรทุกของกลางไปบรรทุกสินค้าโดยการเช่ารถพร้อมคนขับในอัตราค่าเช่าเดือนละ 35,000 บาท เห็นว่า พยานบุคคลทั้งห้าของผู้ร้องเป็นผู้ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการเช่ารถยนต์บรรทุกของกลาง และเบิกความถึงความเป็นมาของการเช่ารถได้สอดคล้องรับกันไม่มีข้อพิรุธ แม้นางสาวฐิติรัตน์กับนายอำนวยและจำเลยจะเป็นพนักงานของผู้ร้องแต่ก็มิได้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีในอันที่จะจูงใจให้ต้องเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีฐานเบิกความเท็จ จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงว่าจะเบิกความเข้าข้างผู้ร้อง ส่วนการที่สัญญาเช่าเอกสารหมาย ร.5 ระบุว่า ให้เช่ารถพร้อมพนักงานขับรถแต่จำเลยซึ่งเป็นคนขับรถยังคงได้รับเงินเดือนจากผู้ร้องนั้น เห็นว่า การเช่ารถพร้อมพนักงานขับรถ มีความหมายว่า พนักงานขับรถยังคงเป็นลูกจ้างของผู้ให้เช่าและรับค่าจ้างจากผู้ให้เช่า แต่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาสั่งงานของผู้เช่าเพื่อความสะดวกในการใช้รถให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้เช่า ซึ่งนายชัยรัตน์ผู้จัดการบริษัทเอ๊กซ์เซล เมทัล ฟอจจิ้ง จำกัด ผู้เช่าและจำเลยก็เบิกความยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุนายชัยรัตน์เป็นผู้สั่งจำเลยให้นำรถยนต์บรรทุกของกลางไปบรรทุกเหล็กและเป็นผู้สั่งให้พนักงานแผนกขนย้ายเป็นผู้ขนเหล็กขึ้นใส่บนรถ สำหรับที่ผู้ร้องไม่ได้นำหลักฐานการเช่าไปยื่นแสดงต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งไม่ขอริบรถยนต์บรรทุกของกลางนั้น ก็ได้ความว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยวันที่ 12 พฤศจิกายน 2542 เวลา 16 นาฬิกา และพนักงานอัยการฟ้องศาลด้วยวาจาในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นการยากที่ผู้ร้องจะดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวนได้ จึงไม่อาจถือเป็นข้อพิรุธที่ทำให้พยานหลักฐานของผู้ร้องไม่น่าเชื่อถือแต่ประการใด เมื่อโจทก์มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมารับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุผู้ร้องให้บริษัทเอ๊กซ์เซล เมทัลฟอจจิ้ง จำกัด เช่ารถยนต์บรรทุกของกลางไปตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ร.5 จริงและเนื่องจากเป็นการเช่ารถพร้อมพนักงานขับรถมีกำหนด 1 ปี ชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน เจ้าของรถผู้ให้เช่าย่อมไม่ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการที่รถต้องบรรทุกน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพราะมิได้คิดค่าเช่าตามอัตราน้ำหนักบรรทุก นอกจากนี้สัญญาเช่าข้อที่ 7 ยังห้ามผู้เช่านำรถที่เช่าไปใช้ในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่วินิจฉัยว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย และพิพากษาให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน