แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยให้การและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาจนบัดนี้ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทแสดงว่าจำเลยหาได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงไม่จำต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ก็ตาม กรณีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเข้าแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่เมื่อใด และเกินกำหนดเวลาเรียกคืนการครอบครองหรือฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2528 โจทก์ทั้งสองต่างซื้อที่ดินมือเปล่าจากนางโสม วรพุทหรือวรพุฒหลังจากนั้นโจทก์ต่างก็เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินที่ซื้อมาเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2530 จำเลยและบริวารบุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเพราะไม่ได้ทำนาในที่ดินพิพาท ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ทำนาได้ข้าวเปลือกปีละ 2,800 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 8,400 บาท ที่ดินของโจทก์ที่ 2 ทำนาได้ข้าวเปลือกปีละ 4,400 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน10,200 บาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทในสำนวนที่ 1 และที่ 3เป็นของโจทก์ที่ 1 ที่ดินพิพาทในสำนวนที่ 2 และที่ 4 เป็นของโจทก์ที่ 2 ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ข้าวเปลือกแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 2,800 กิโลกรัม หรือใช้ราคาเป็นเงิน8,400 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 4,400 กิโลกรัม หรือใช้ราคาเป็นเงิน10,200 บาท
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การในทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของบิดาจำเลยและยกให้จำเลยเมื่อประมาณ 25 ปีมาแล้วหลังจากนั้นจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในฐานะเจ้าของตลอดมาจนบัดนี้ นางโสม วรพุทหรือวรพุฒมารดาจำเลยไม่มีอำนาจเอาที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยไปขายให้แก่โจทก์ โจทก์อ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทมาเมื่อปี 2528 แต่โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนบัดนี้เป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความที่ดินพิพาทเกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ทำนาได้ข้าวเปลือกประมาณปีละ 1,000กิโลกรัม ขายได้ราคาไม่เกิน 3,000 บาท เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 ทำนาได้ข้าวเปลือกไม่เกินปีละ 1,100 กิโลกรัมขายได้ราคาไม่เกิน 2,800บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นางโสม วรพุทหรือวรพุฒมารดาจำเลยได้ขายที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6 ให้แก่โจทก์ที่ 1 และขายที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.2ให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายในอัตราปีละ 1,800บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหายในอัตราปีละ 6,600 บาทจำเลยบุกรุกแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2530 โจทก์ฟ้องคดีในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2530ยังไม่เกิน 1 ปีฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 36 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6เป็นของโจทก์ที่ 1 และที่ดินพิพาทเนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวาตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.2 เป็นของโจทก์ที่ 2 ให้จำเลยชดใช้ข้าวเปลือกแก่โจทก์ที่ 1 ในอัตราปีละ 600 กิโลกรัม หากใช้ไม่ได้ให้ใช้เป็นเงินปีละ 1,800 บาท ให้จำเลยชดใช้ข้าวเปลือกแก่โจทก์ที่ 2 ปีละ 1,100 กิโลกรัมหากใช้ไม่ได้ให้ใช้เป็นเงินปีละ 3,300 บาทนับแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2530 จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์
จำเลยทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้แล้วว่า โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า จำเลยให้การและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาจนบัดนี้ โจทก์ทั้งสองไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท แสดงว่า จำเลยหาได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใดไม่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่จำต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเข้าแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่เมื่อใดและฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ไม่วินิจฉัยในประเด็นนั้น จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน