แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติ ญญัติการธนาคารพาณิชย์กำหนดว่า ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมีสำนักงานติดต่อกับบุคคลทั่วไปในราชอาณาจักรหรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจากสาขาธนาคารต่างประเทศ จะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร จะต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย พระราชบัญญัติดังกล่าวห้ามสาขาธนาคารต่างประเทศตั้งสำนักงานเพื่อกระทำแทนไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจประเภทธนาคารพาณิชย์ หากจำเลยจะตั้งสำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทยจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น สำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้จัดตั้ง จึงเป็นเพียงตัวแทนของจำเลยในประเทศไทยในการติดต่อกับบุคคลทั่วไปเท่านั้น ประกอบกับหนังสืออนุญาตของธนาคารแห่งประเทศไทยที่อนุญาตให้จำเลยตั้งสำนักงานผู้แทนในประเทศไทยระบุว่า สำนักงานผู้แทนของจำเลยจะต้องไม่ประกอบธุรกิจอันใดอันเข้าลักษณะการประกอบการธนาคารพาณิชย์ จึงแสดงให้เห็นว่า สำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทยไม่มีอำนาจดำเนินการแทนจำเลยตามวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ สำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทย จึงไม่ใช่สาขาธนาคารของจำเลยในประเทศไทย ภูมิลำเนาของนิติบุคคลนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ได้แก่สำนักงานแห่งใหญ่หรือที่ตั้งทำการหรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งหรือถิ่นที่มีสาขาสำนักงานในส่วนกิจการอันทำ ณ ที่นั้น สำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นจากธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่ที่ตั้งทำการหรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการ ตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งของจำเลย จำเลยจึงไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย โจทก์จึงไม่อาจยื่นฟ้องจำเลยในศาลประเทศไทยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนตามกฎหมายแห่งประเทศญี่ปุ่น ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่นและในประเทศอื่นทั่วโลกในประเทศไทย จำเลยมีภูมิลำเนาที่ตั้งทำการเลขที่ 142 ตึกธนาคารกสิกรไทย ชั้น 5 ถนนสีลม แขวงสีลมเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ดำเนินการเป็นสำนักผู้แทนธนาคารจำเลยในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17ธันวาคม 2524 เพื่อติดต่อกับบุคคลทั่วไปในประเทศไทย เมื่อวันที่29 สิงหาคม 2527 จำเลยแจ้งการเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อประโยชน์ของโจทก์ผ่านธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ และจำเลยได้แก้ไขเพิ่มเติมเล็ตเตอร์ออฟเครดิตว่า บริษัทวาคาตาเก้ จำกัด ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้ยื่นคำขอเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับจำเลยที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อสั่งซื้อแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์จากโจทก์เป็นเงิน 777,000 เหรียญสหรัฐ จำเลยได้อนุมัติการเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่โจทก์ ผ่านธนาคารกรุงเทพจำกัด สำนักงานใหญ่ โจทก์ดำเนินการจัดส่งแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ให้บริษัทวาคาตาเก้ จำกัด มีนายเอส ซากากิ แห่งบริษัทวาคาตาเก้จำกัด เป็นผู้ตรวจสอบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์กับลงลายมือชื่อในใบกำกับราคาสินค้าและใบตรวจสอบคุณภาพสินค้าแล้ว ธนาคารกรุงไทย จำกัดได้จัดทำตั๋วแลกเงินมีโจทก์เป็นผู้สั่งจ่ายและมีคำสั่งให้จำเลยที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้จ่ายเงิน 777,000 เหรียญสหรัฐจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายอ้างว่าลายมือชื่อในใบกำกับราคาสินค้าและใบตรวจสอบคุณภาพสินค้าไม่ใช่ลายมือชื่อของนายเอส ซากากิ แห่งบริษัทวาคาตาเก้ จำกัดขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 887,961.99 เหรียญสหรัฐ พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเทศญี่ปุ่นมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เล็ตเตอร์ออฟเครดิตได้ยื่นคำขอและอนุมัติโดยธนาคารจำเลยในประเทศญี่ปุ่น ธนาคารของจำเลยไม่มีสาขาในประเทศไทย จึงไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทยและไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลไทย สำนักงานผู้แทนในประเทศไทยของจำเลยที่อยู่เลขที่ 142 ตึกธนาคารกสิกรไทย ชั้น 5 ถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานครเป็นเพียงสำนักงานสำหรับติดต่อเท่านั้น ไม่ได้เป็นสาขาของจำเลยตามหนังสืออนุญาตให้จำเลยตั้งสำนักงานผู้แทนนั้นระบุห้ามไม่ให้สำนักงานผู้แทนประกอบธุรกิจใดอันจะเข้าลักษณะเป็นการประกอบการธนาคารพาณิชย์ ที่โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีปิดไว้ ณ ที่สำนักงานผู้แทนของจำเลย จึงไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นในประเทศไทย จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินให้แก่โจทก์ตามที่ระบุไว้ในเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเนื่องจากโจทก์มิได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขของเล็ตเตอร์ออฟเครดิต กล่าวคือ ใบกำกับราคาสินค้า ใบตรวจสอบคุณภาพสินค้า และใบตราส่งสินค้าทางอากาศเป็นเอกสารปลอม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า สำนักงานผู้แทนในประเทศของจำเลยเป็นเพียงตัวแทนที่จำเลยแต่งตั้งขึ้นในประเทศไทย มิได้มีฐานะเป็นสำนักงานสาขา อันเป็นส่วนหนึ่งของจำเลยในประเทศญี่ปุ่น ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นในประเทศไทยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 2 และมาตรา 4(2) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจประเภทธนาคารพาณิชย์ ถ้าหากจำเลยจะตั้งสำนักงานผู้แทนของจำเลยขึ้นในประเทศไทย จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งตามมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติไว้ความว่า ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมีสำนักงานติดต่อกับบุคคลทั่วไปในราชอาณาจักร หรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจากสาขาธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์ ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขต้องปฏิบัติด้วยก็ได้ จะเห็นได้ว่าความหมายของบทบัญญัติดังกล่าวนี้ประสงค์จะควบคุมธนาคารพาณิชย์ในการจัดตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร จะต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนสาขาธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรไม่ได้ เพราะตามความในมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ไม่อนุญาตให้กระทำ ดังนั้นสำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2524 จึงเป็นเพียงตัวแทนของจำเลยในประเทศไทยในการติดต่อกับบุคคลทั่วไปเท่านั้น สำนักงานผู้แทนของจำเลยจึงไม่ใช่สาขาธนาคารของจำเลยในประเทศไทยแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่าในหนังสืออนุญาตของธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับลงวันที่ 17 ธันวาคม2524 ที่อนุญาตให้จำเลยซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด ณ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งสำนักงานผู้แทนในประเทศไทยภายใต้เงื่อนไขว่า สำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทยจะต้องไม่ประกอบธุรกิจใดอันเข้าลักษณะเป็นการประกอบการธนาคารพาณิชย์ตามนัยของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทยไม่มีอำนาจดำเนินการแทนจำเลยตามวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้เลย สำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทยจึงไม่ใช่สาขาธนาคารของจำเลยในประเทศไทยและเห็นว่าการยื่นคำฟ้องนั้น ตามความในมาตรา 4(2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บัญญัติไว้ความว่า คำฟ้องอื่น ๆนอกจากนี้ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล ซึ่งฟ้องของโจทก์ตกอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติดังกล่าวนี้ คือ โจทก์จะต้องฟ้องยังภูมิลำเนาของจำเลย สำหรับภูมิลำเนาของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้น ความในมาตรา 71 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วรรคแรก บัญญัติไว้ความว่า ได้แก่ถิ่นที่สำนักงานแห่งใหญ่ หรือที่ตั้งทำการ หรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งและวรรคสองบัญญัติไว้ความว่า อนึ่งถิ่นที่มีสาขาสำนักงานจะจัดว่าเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการอันทำ ณที่นั้นด้วยก็ได้ จะเห็นได้ว่าสำนักงานผู้แทนของจำเลยในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นจากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อยู่ในความหมายของสาขาธนาคารของจำเลย ไม่ใช่ที่ตั้งทำการหรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งของจำเลยแต่อย่างใดทั้งสิ้น จำเลยจึงไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย โจทก์ไม่อาจจะยื่นฟ้องจำเลยในศาลประเทศไทยได้
พิพากษายืน.