คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลละเมิดต่อโจทก์ในคดีนี้เป็นการกระทำอันเดียวกับที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาท ซึ่งในคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นจำเลยกระทำผิด พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังที่จะลงโทษจำเลย ได้คดีถึงที่สุด ดังนั้นในการพิพากษาคดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวว่าจำเลยมิได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านโจทก์โดยประมาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายใน คดีอาญาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงต้องผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 เป็นบทบัญญัติถึงการพิพากษาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้เช่าบ้านโจทก์เพื่อทำปั๊มน้ำมัน จำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ เข้าอยู่แทนเพื่อทำการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ควบคุมดูแล ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและไหม้บ้านของโจทก์ดังกล่าวจนหมดสิ้น จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ที่ ๒ มิใช่เจ้าของทรัพย์ที่เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ มิได้กระทำโดยประมาท เพลิงเกิดไหม้ขึ้นโดยอุบัติเหตุจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ ได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาท จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๒ ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ที่ ๑
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๑ ด้วย
โจทก์ที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ ๒ อันเป็นเหตุให้เกิดมูลละเมิดต่อโจทก์ที่ ๑ ในคดีนี้เป็นการกระทำอันเดียวกันกับการกระทำที่อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๔ (อัยการจังหวัดนครสวรรค์) เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายและน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของผู้อื่นตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๙๗/๒๕๒๓ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๔ (ศาลจังหวัดนครสวรรค์) ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้นคดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว การฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าว ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ ในคดีอาญาดังกล่าวนั้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นจำเลยที่ ๒ เป็นคนถ่ายน้ำมันจากรถบรรทุกน้ำมันลงสู่ถังน้ำมันของจำเลยที่ ๒ คงมีแต่คำเบิกความของร้อยตำรวจตรีบุรี จันทร์งามว่าหากจำเลยที่ ๒ ใช้มอเตอร์ดูดถ่ายน้ำมันแล้วไฟช๊อตก็จะเกิดเพลิงไหม้ได้และไม่มีพยานโจทก์ปากใดว่าจำเลยที่ ๒ ใช้มอเตอร์ดูดถ่ายน้ำมัน พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่พอฟังที่จะลงโทษได้ จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีความผิด ดังนี้ข้อเท็จจริงในคดีนี้ต้องฟังว่าจำเลยที่ ๒ มิได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทอันเป็นเหตุให้เกิดไฟลุกไหม้บ้านของโจทก์ที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ ๑ และไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าบ้านของโจทก์ที่ ๑นั้นเมื่อฟังว่า จำเลยที่ ๒ มิได้กระทำละเมิดแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๑ ด้วย
ที่โจทก์ที่ ๑ ฎีกาว่า การที่จะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามาใช้ในคดีแพ่งได้นั้นจะต้องปรากฏว่าคู่ความทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งต้องเป็นคู่ความเดียวกันนั้น เห็นว่าในคดีอาญาที่จำเลยที่ ๒ ถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทนั้นบ้านของโจทก์ที่ ๑ ถูกไฟไหม้ไปด้วย ถือได้ว่าโจทก์ที่ ๑ เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวนั้น ฉะนั้นข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวจึงต้องผูกพันโจทก์ที่ ๑ ในคดีนี้ด้วย
อนึ่ง ที่โจทก์ที่ ๑ ฎีกาว่าการนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามารับฟังเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๔ นั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวนั้นบังคับถึงการพิจารณาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่กรณีของโจทก์ที่ ๑ ในคดีนี้ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๒๔
พิพากษายืน

Share