คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21441/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2639/2550 ของศาลแขวงดุสิต โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมมิให้เลื่อนโจทก์เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) กล่าวหาว่าโจทก์กับพวกส่งคนไปคุกคามข่มขู่จำเลยและพยานของจำเลยในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญาฐานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เพื่อขอให้ ก.ตร. และ ก.ต.ช. พิจารณามิให้เลื่อนโจทก์ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชั่วคราวจนกว่าคดีอาญาที่จำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญาจะถึงที่สุด ซึ่งมีสาระแห่งการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทของจำเลยเช่นเดียวกับคดีนี้ แม้การมีหนังสือขอความเป็นธรรมทั้งในคดีก่อนและคดีนี้ จำเลยจะได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อคณะกรรมการของ ก.ตร. และกรรมการ ก.ต.ช. คนละคนกันดังที่โจทก์กล่าวอ้าง แต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาเดียวกัน คือเจตนาที่จะร้องขอความเป็นธรรมมิให้ ก.ตร. และ ก.ต.ช. พิจารณาเลื่อนตำแหน่งของโจทก์นั่นเอง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน คำฟ้องของโจทก์คดีก่อนกับคดีนี้เป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน เมื่อขณะโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้ คำฟ้องคดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณา คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์นำสืบพยานว่า โจทก์มอบอำนาจให้พันตำรวจเอกระพีพงษ์ ฟ้องคดีนี้ โจทก์เคยรับราชการ ภายหลังโจทก์ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ไปรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับคดีนี้กลางเดือนมีนาคม 2550 จำเลยได้ทำหนังสือร้องเรียนโจทก์ต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจส่งถึงพลตำรวจเอกนพดล และพลตำรวจเอกนพดลได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชี้แจงต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ซึ่งมูลเหตุในคดีนี้เกิดเนื่องจากโจทก์ได้ทำการจับกุมบ่อนการพนัน ป.ประตูน้ำ ตามบันทึกการจับกุม ผู้เล่นการพนันในบ่อนดังกล่าวได้รับสารภาพ ส่วนจำเลยถูกฟ้องที่ศาลแขวงดุสิต ภายหลังได้มีการขยายผลการจับกุมจึงได้มีการตรวจค้น ตามหมายค้นและผลการตรวจค้น ต่อมาจำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา นอกจากหนังสือร้องเรียนนี้แล้ว จำเลยได้จัดส่งหนังสือที่มีข้อความเช่นเดียวกันนี้ให้แก่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจคนอื่นๆ ด้วย
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาซึ่งโจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่นฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2550 โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาหมิ่นประมาทต่อศาลแขวงดุสิตเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2639/2550 ศาลแขวงดุสิตไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาในวันที่ 10 สิงหาคม 2550 ตามสำเนาคำสั่งของศาลแขวงดุสิตเอกสารในสำนวนลำดับที่ 43/1 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลแขวงดุสิตพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดให้ลงโทษจำคุกจำเลย ตามสำเนาคำพิพากษาท้ายคำแถลงเพิ่มเติมอุทธรณ์ของโจทก์เอกสารในสำนวนลำดับที่ 64/3 ส่วนคดีนี้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2550 ขณะที่คดีอาญาหมายเลขดำที่ 2639/2550 ของศาลแขวงดุสิตอยู่ในระหว่างการไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นในข้อหาหมิ่นประมาทเช่นกัน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2639/2550 ของศาลแขวงดุสิตหรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนาคำฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2639/2550 ของศาลแขวงดุสิต โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวถึงการกระทำของจำเลยที่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ว่า จำเลยได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมมิให้เลื่อนโจทก์เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) โดยกล่าวหาว่าโจทก์กับพวกส่งคนไปคุกคามข่มขู่จำเลยและพยานของจำเลยในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญาฐานร่วมกับพวกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เพื่อขอให้ ก.ตร. และ ก.ต.ช. พิจารณามิให้เลื่อนโจทก์ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชั่วคราวจนกว่าคดีอาญาที่จำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญาจะถึงที่สุด ซึ่งมีสาระแห่งการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทของจำเลยเช่นเดียวกับคดีนี้ แม้การมีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมทั้งในคดีก่อนและคดีนี้ จำเลยจะได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อคณะกรรมการของ ก.ตร. และกรรมการ ก.ต.ช. คนละคนกันดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา แต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาเดียวกัน คือเจตนาที่จะร้องขอความเป็นธรรมมิให้ ก.ตร. และ ก.ต.ช. พิจารณาเลื่อนตำแหน่งของโจทก์นั่นเอง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกันซึ่งย่อมส่งผลให้ถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์คดีก่อนกับคดีนี้เป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน เมื่อปรากฏว่าขณะโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้ คดีอาญาหมายเลขดำที่ 2639/2550 ของศาลแขวงดุสิต อยู่ในระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งถือว่าเป็นคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณา คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่แก้ฎีกาโต้แย้งว่าการอนุญาตให้ฎีกาไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 อีกแต่อย่างใด เพราะแม้รับวินิจฉัยให้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีได้ ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนขึ้นวินิจฉัยเอง และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share