แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาว่าจำเลยขออ้างอุทธรณ์จำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาจำเลย เท่ากับฎีกาของจำเลยที่อ้างอุทธรณ์เป็นการโต้แย้งคัดค้านเฉพาะคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบอย่างไร และจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพราะเหตุใด ทั้ง ๆ ที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อ้างเหตุคนละอย่างกับเหตุที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 288 ริบมีดของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ระหว่างพิจารณา นายโกวิทย์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาล 106,597 บาท และค่าขาดรายได้จากการทำงาน (รับจ้าง) ที่บริษัทเอ็ม เอ็ม ซี ทูลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นเวลา 2 เดือน เป็นเงิน 28,000 บาท รวมเป็นเงิน 134,597 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2551 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,692 บาท และดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวของต้นเงิน 134,597 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 10 ปี ริบมีดของกลาง กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 134,597 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 กรกฎาคม 2551) ต้องไม่เกิน 2,692 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะคดีส่วนแพ่งและให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาคดีส่วนแพ่งใหม่ โดยให้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่ง (ถ้ามี) ด้วย แล้วให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนพร้อมอุทธรณ์ของจำเลยในคดีส่วนอาญาและอุทธรณ์ของคู่ความในคดีส่วนแพ่ง (ถ้ามี) ไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทำการพิจารณาและพิพากษาต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีส่วนแพ่งใหม่
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า โจทก์ร่วมมิได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลแก่โรงพยาบาลแต่อย่างใด เนื่องจากโจทก์ร่วมใช้สิทธิประกันสังคม และขณะที่โจทก์ร่วมพักรักษาตัวนั้น บริษัทของโจทก์ร่วมได้จ่ายเงินค่าทดแทนแก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 129,397.80 บาท แก่ผู้ร้อง (ที่ถูก โจทก์ร่วม) พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 กรกฎาคม 2551) ต้องไม่เกิน 2,692 บาท ตามขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้องโดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
คู่ความไม่อุทธรณ์คดีในส่วนแพ่ง ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษจำคุกแก่จำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงให้จำคุก 6 ปี 8 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายโกวิทย์ ผู้ร้อง เป็นเงิน 22,800 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามอัตราและระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด กับให้ศาลชั้นต้นคืนค่าขึ้นศาลในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นทั้งหมดแก่ผู้ร้อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คู่ความไม่อุทธรณ์สำหรับคดีส่วนแพ่ง จึงไม่จำต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยขออ้างอุทธรณ์จำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาจำเลยนั้น เห็นว่า การที่จำเลยอ้างอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกาเท่ากับฎีกาของจำเลยที่อ้างอุทธรณ์เป็นการโต้แย้งคัดค้านเฉพาะคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบอย่างไร และจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพราะเหตุใด ทั้ง ๆ ที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อ้างเหตุคนละอย่างกับเหตุที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน