คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมที่ดินพิพาทเป็นของ ธ. มีเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต่อมา ธ. ขอออกเป็นโฉนดที่ดินแล้ว ธ. นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้แก่ธนาคารส่วนจำเลยได้ฟ้อง ธ.ให้ชำระหนี้ตามเช็คและธนาคารก็ฟ้องธ.ให้ชำระหนี้กับมีคำขอให้บังคับจำนองหลังจากที่จำเลยชนะคดีแล้วจำเลยนำยึดที่ดินพิพาทตามหลักฐานใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดในคดีที่จำเลยนำยึด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยผู้ซื้อทรัพย์ ต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีที่ธนาคารบังคับจำนอง ดังนี้ เมื่อในวันที่เจ้าพนักงานจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลตามใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทนั้นธ. เจ้าของที่ดินพิพาทตามใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นได้ไปขอออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวที่สำนักงานที่ดินจังหวัดก่อนแล้ว ย่อมมีผลให้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทรวมตลอดไปถึงใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินพิพาทเป็นอันยกเลิกไป แม้จำเลยจะได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทจากการซื้อทรัพย์สินในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริตก็หามีผลบังคับแก่ที่ดินพิพาทไม่ และไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายจำเลยจึงไม่ได้สิทธิในที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 1036 โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาล และได้รับโอนแล้วต่อมาสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายได้มีหนังสือแจ้งอายัดที่ดินดังกล่าวไปยังโจทก์ โดยมีจำเลยเป็นผู้ยื่นคำขออายัดอ้างว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยถอนการอายัดโฉนดที่ดินเลขที่1036 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1459 (ฉบับใบแทน)
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1459โดยจำเลยซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาล ต่อมาจำเลยทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 1036ที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาด จำเลยจึงขออายัดที่ดินตามสิทธิของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับใบแทน เลขที่ 1459 ที่จำเลยครอบครองอยู่ ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่1036 เพียงคนเดียว
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยได้มาซึ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1459 ฉบับใบแทนโดยไม่สุจริตการอายัดโฉนดที่ดินของจำเลยจึงไม่สุจริต จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งให้จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินเลขที่ 1036 เพราะโจทก์ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1459 (ฉบับใบแทน) คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่ดินของนายธาตรี ภิรมย์อุดมสุข ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1459 ต่อมานายธาตรียื่นคำร้องขอออกเป็นโฉนดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย วันที่ 19 พฤษภาคม 2518เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายได้ออกโฉนดที่ดินของที่พิพาทให้นายธาตรีเป็นโฉนดเลขที่ 1036 แต่ไม่ได้มีการแจ้งให้ขีดคร่อมหรือยกเลิก น.ส.3 ก. ฉบับสำนักงานที่ดินอำเภอว่าได้มีการออกโฉนดแล้ววันที่ 16 พฤศจิกายน 2520 นายธาตรีได้นำโฉนดที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ในพ.ศ. 2525 จำเลยฟ้องคดีแพ่งให้นายธาตรีชำระหนี้ตามเช็ค ส่วนธนาคารกรุงเทพ จำกัด ฟ้องนายธาตรีให้ชำระหนี้กับบังคับจำนองและยึดที่ดินตามโฉนดที่จำนองเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2526วันที่ 27 พฤศจิกายน 2527 จำเลยชนะคดีและนำยึดที่ดินพิพาทของนายธาตรี ตามหลักฐานใบแทน น.ส.3 ก. ที่สำนักงานที่ดินอำเภอออกให้วันที่ 9 มกราคม 2528 จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลในคดีที่จำเลยนำยึดวันที่ 24 มกราคม 2528ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งให้พนักงานที่ดินอำเภอโอนที่ดินพิพาทให้จำเลย ซึ่งพนักงานที่ดินอำเภอได้จดทะเบียนโอนให้จำเลยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2528 วันที่ 24 ธันวาคม 2530 โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด นำยึด และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายได้จดทะเบียนโอนโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2530วันที่ 15 มีนาคม 2531 สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายได้มีหนังสือแจ้งอายัดที่ดินพิพาทไปยังโจทก์โดยมีจำเลยเป็นผู้ยื่นคำขออายัดอ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นประการแรกว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทเห็นว่า ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2528 อันเป็นวันที่เจ้าพนักงานจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยผู้ซื้อทรัพย์สินในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลตามใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น นายธาตรีเจ้าของที่ดินพิพาทตามใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นได้ไปขอออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2518 เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 1036ตามเอกสารหมาย จ.3 ดังนี้ ย่อมมีผลให้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทรวมตลอดไปถึงใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินพิพาทเป็นอันยกเลิกไป การจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทอันเนื่องจากการซื้อทรัพย์สินในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลแก่จำเลยแม้จำเลยจะกระทำโดยสุจริตก็หามีผลบังคับแก่ที่ดินพิพาทไม่ การจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย จำเลยจึงไม่ได้สิทธิในที่ดินพิพาท ส่วนโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทตามหลักฐานโฉนดที่ดินโดยชอบ โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share