แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าไม่เคยกู้เงินโจทก์ จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้แก่บุคคลอื่น ดังนี้แม้จะรับฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยต่อสู้ แต่เมื่อเช็คพิพาทอยู่ในความครอบครองของโจทก์ในเบื้องต้นต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ในฐานะเป็นผู้ทรงต้องเสียไป จำเลยนำสืบว่าจำเลยกู้เงิน จ. และออกเช็คให้ จ. โดยมีข้อตกลงว่า จ. จะไม่โอนเช็คพิพาทให้แก่ผู้ใดและต่อมาจำเลยชำระหนี้แล้ว จ. ไม่คืนเช็คพิพาทให้ดังนี้ จำเลยจะยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างตนกับ จ. ขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้ทรงเช็คมิได้ เมื่อจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์ผู้ทรงรับโอนเช็คพิพาทไว้โดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่สุจริต จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2531จำนวน 100,000 บาท ชำระหนี้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 100,625 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่รู้จักโจทก์และไม่เคยมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์และเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 625 บาท
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหามีว่า จำเลยต้องชำระเงิน 100,000 บาท ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ซึ่งเป็นเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์จำเลยต่อสู้ว่าไม่เคยกู้เงินโจทก์ จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้แก่บุคคลอื่น โจทก์จำเลยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม้จะรับฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยต่อสู้ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบแต่เมื่อเช็คพิพาทอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ในเบื้องต้นก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ในฐานะเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายต้องเสียไป คดีนี้จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยได้กู้เงินนายเจนวิทย์ 100,000 บาทได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ให้นายเจนวิทย์ไว้โดยมีข้อตกลงว่าจะไม่นำเช็คพิพาทไปขึ้นเงินหรือโอนให้แก่ผู้ใดจำเลยชำระหนี้แก่นายเจนวิทย์ แล้วนายเจนวิทย์ไม่คืนเช็คพิพาทแก่จำเลยจำเลยจึงได้แจ้งธนาคารห้ามจ่ายเงิน อันเป็นข้อต่อสู้ว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้แก่บุคคลอื่น และบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพัน จำเลยจึงแจ้งอายัดเช็คไว้ซึ่งจำเลยจะยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างตนกับบุคคลนั้นขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้ทรงเช็คมิได้เว้นแต่การโอนจะมีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 เมื่อจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์ผู้ทรงรับโอนเช็คพิพาทไว้โดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่สุจริตอย่างไร จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน