คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2141/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยชอบเล่นการพนันมานาน โจทก์ห้ามปรามก็ไม่เชื่อบางครั้งนำทรัพย์สินภายในบ้านไปจำนำเอาเงินไปเล่นการพนันจำเลยเคยถูกจับฐานเล่นการพนันถูกดำเนินคดีจนศาลพิพากษาลงโทษ ก็ยังไม่เลิก โจทก์เป็นตำรวจต้องถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปตักเตือนว่าหากไม่ห้ามให้จำเลยเลิกเล่น จะย้ายโจทก์ โจทก์ต้องเลี้ยงดูทั้งครอบครัว เมื่อจำเลยเล่นการพนันเสียบางครั้งเงินก็ไม่พอใช้จ่ายพฤติการณ์ของจำเลยถือว่าเป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นสามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง และได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ โจทก์จึงฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2)(ก)และ(ค)
การจดทะเบียนการหย่าโดยคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1531 วรรคสอง คู่สมรสไม่จำต้องไปแสดงเจตนาขอจดทะเบียนการหย่าต่อนายทะเบียนอีก ทั้งตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 16 ก็บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียเพียงแต่ยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดที่รับรองถูกต้องแล้วต่อนายทะเบียน และขอให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าไว้ในทะเบียนเท่านั้นศาลจึงไม่จำต้องสั่งคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่า หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 5 คน ยังเป็นผู้เยาว์ จำเลยได้ประพฤติชั่วด้วยการเล่นการพนันเป็นอาจิณจนถูกจับดำเนินคดีอาญาและศาลพิพากษาลงโทษปรับไปแล้ว แต่จำเลยไม่เข็ดหลาบ ได้นำทรัพย์สินของโจทก์ไปจำนำกับบุคคลอื่นเพื่อนำเงินไปเล่นการพนันจนหมดตัว ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทำผิดได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่ยังคงเป็นสามีของจำเลยที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรและเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยไปจดทะเบียนหย่าขาดกับโจทก์ ณ สำนักงานทะเบียนหากจำเลยขัดขืนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย กับให้บุตรทั้ง 5 คนอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์แต่ผู้เดียว
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเล่นการพนัน โจทก์มีภริยาน้อยหลังจากนั้นโจทก์ไม่เคยให้เงินเดือนจำเลย การจำนำสิ่งของเพราะขัดสนเงินทองที่จะนำมาซื้ออาหารบริโภคในครอบครัวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดกับโจทก์ ณสำนักงานทะเบียนอำเภอเมืองเพชรบุรี หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยกับให้บุตรทั้ง 5 คน อยู่ในความปกครองของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยชอบเล่นการพนันโจทก์ห้ามปรามจำเลยก็ไม่เชื่อ บางครั้งถึงกับเอาทรัพย์สินภายในบ้านและของส่วนตัวของโจทก์ไปจำนำเอาเงินไปเล่นการพนัน โจทก์ต้องไปไถ่ทรัพย์คืน
ส่วนในปัญหาที่ว่า ข้อเท็จจริงเท่าที่รับฟังมาดังกล่าวจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (2)(ก)(ข) และ (ค) หรือไม่นั้น ตามบทกฎหมายมาตราดังกล่าว บัญญัติว่า (2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่วไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง (ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง (ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไปหรือ (ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ เช่นนี้ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ได้ความ จำเลยชอบเล่นการพนันมานานโดยได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า จำเลยแอบเล่นการพนันมาตั้งแต่มีลูกคนแรกแล้วโจทก์ห้ามปรามจำเลยไม่เชื่อ เพื่อนตำรวจด้วยกันกับโจทก์ต่างรู้เรื่องนี้ บางครั้งจำเลยเอาทรัพย์สินภายในบ้านและของส่วนตัวของโจทก์ไปจำนำ เอาเงินไปเล่นการพนัน โจทก์ต้องไปไถ่ทรัพย์คืน ทั้งเคยถูกจับฐานเล่นการพนันถูกดำเนินคดีจนศาลพิพากษาปรับ ก็ยังไม่เลิก นางสาววิไลลักษณ์ จงดี พยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยแอบไปเล่นไพ่เป็นประจำ บางครั้งหายไปนานถึง 10 วัน แสดงว่าเป็นการเล่นการพนันบ่อย เล่นมานานและเล่นอย่างหามรุ่งหามค่ำ และมีผลเสียหายมาก มิใช่เป็นการเล่นเพื่อสังคมหรือพักผ่อนหย่อนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ทั้งปรากฏว่าโจทก์เป็นตำรวจ ต้องถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปตักเตือนว่าหากไม่ห้ามให้จำเลยเลิกเล่นการพนันจะย้ายโจทก์ไปต่างจังหวัด และโจทก์มีเงินเดือนเพียงเดือนละประมาณ4,000 บาท ต้องเลี้ยงดูทั้งครอบครัว เมื่อจำเลยเล่นการพนันเสีย บางครั้งเงินก็ไม่พอใช้จ่ายพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวมาถือเป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นสามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง และได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อันทำให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (2) (ก) และ (ค)ส่วนในข้อการปกครองและอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์นั้นข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นผู้อุปการะครอบครัวมาตลอดจำเลยไม่มีอาชีพอะไร จึงสมควรที่จะให้โจทก์เป็นผู้ปกครองและเป็นผู้ออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้ง 5 คน แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่า หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เห็นว่าการจดทะเบียนการหย่าโดยคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1531วรรคสอง คู่สมรสไม่จำต้องไปแสดงเจตนาขอจดทะเบียนการหย่าต่อนายทะเบียนอีก ทั้งตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวพ.ศ. 2478 มาตรา 16 ก็บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียเพียงแต่ยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดที่รับรองถูกต้องแล้วต่อนายทะเบียน และขอให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าไว้ในทะเบียนเท่านั้น จึงไม่จำต้องสั่งคำขอข้อนี้ของโจทก์
พิพากษากลับว่า ให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน โดยให้โจทก์เป็นผู้ปกครองและเป็นผู้ออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้ง 5 คน แต่ผู้เดียว.

Share