คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1565/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจะขายที่ดินแก่เขาแล้วกลับเอาไปขายแก่คนอื่นเสียเมื่อปรากฎว่าคนซื้อภายหลังนี้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าผู้ขาย ได้ตกลงจะขายที่นี้แก่ผู้ซื้อคนแรก ทั้งตนเองก็ยังได้เคยขอซื้อต่อจากเขาแต่เขาไม่ขายให้เช่นนี้ดังนี้ย่อมฟังได้ว่าการซื้อขายรายหลังนี้เป็นการสมยอม เพื่อฉ้อโกงผู้ซื้อ ผู้ซื้อย่อมฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนนี้และบังคับให้ผู้ขายโอนขายที่นี้แก่เขากับให้ผู้ซื้อรายหลังใช้ค่าเสียหายแก่เขาอีกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ไปแล้วจำเลยที่ ๑ กลับบิดพลิ้วและได้โอนขายให้จำเลยที่ ๒ เสีย จำเลยที่ ๒ ก็ทราบดี จึงเป็นการฉ้อโกงโจทก์ทำให้โจทก์เสียเปรียบและต้องเสียหาย เข้าทำมรรคผลไม่ได้ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างจำเลยและให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ให้โจทก์กับให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ ๒ รับซื้อไว้โดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ ๑-๒ ซื้อขายกันไม่สุจริต เพราะทราบเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ มาก่อนแล้ว พิพากษากลับให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างจำเลยที่ ๑-๒ และให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินให้แก่โจทก์แทนตามราคาที่ตกลงกันไว้ กับให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหาย ๑,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ รู้ดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๑ ตกลงจะขายที่พิพาทให้โจทก์จำเลยที่ ๒ ยังได้เคยขอซื้อที่นี้ต่อโจทก์แต่โจทก์ไม่ขายให้ฉะนั้นจำเลยที่ ๑-๒ จึงโอนขายที่พิพาทกัน เป็นการสมยอมเพื่อฉ้อโกงโจทก์กระทำให้โจทก์เสียหายศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน

Share