แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเข้าไปในเคหสถานแล้กระทำอนาจารผู้เสียหายนั้น เห็นเจตนาของจำเลยได้ว่า จำเลยมีเจตนาเข้าไปเพื่อกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้โจทก์ จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน และจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม ศาลจะลงโทษจำเลยหลายกรรมต่างกันเป็นหลายกระทงความผิดมิได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1905/2520)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ (ก) บุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนาง บ.ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร (ข) กระทำอนาจารแก่นาง บ. ผู้เสียหายอายุ ๔๑ ปี โดยใช้มือเปิดผ้าถุงของผู้เสียหายที่สวมใส่ขณะที่ผู้เสียหายนอนหลับอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจะขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘, ๓๖๔, ๓๖๕, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ และข้อ ๙ ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๘๐/๒๕๒๓ ของศาลจังหวัดชัยภูมิ
จำเลยรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ /๒๕๒๓ ตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘, ๓๖๔, ๓๖๕ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๙ แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๔ เดือน จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ เดือน นับโทษจำเลยต่อกับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๖๗๗/๒๕๒๓ ของศาลจังหวัดชัยภูมิ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้วจำเลยได้กระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย เห็นว่าการที่จำเลยเข้าไปในเคหสถานแล้วกระทำอนาจารนั้นเห็นเจตนาของจำเลยได้ว่า จำเลยมีเจตนาเข้าไปเพื่อกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันและจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม ศาลจะลงโทษจำเลยหลายกรรมต่างกันเป็นหลายกระทงความผิดก็ได้
พิพากษายืน