คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1015/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ราษฎรผู้ครอบครองไม่อาจยกสิทธิใด ๆ ขึ้นโต้แย้งรัฐได้ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมยกการยึดถือครอบครองขึ้นยันผู้อื่นได้
โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ต่อมาจำเลยขอใช้ประโยชน์ในที่พิพาทเพื่อปลูกบ้านโดยจำเลยยอมเสียค่าเช่าหรือค่าตอบแทนแก่โจทก์ ถือว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลย การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทจึงเป็นการอาศัยสิทธิของโจทก์เป็นการครอบครองแทนโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ต่อไป จำเลยจึงต้องออกจากที่ดินพิพาท
หมายเหตุ วรรคสองวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา (ครั้งที่ 1/2547)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตั้งอยู่บนเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเลยทั้งสองปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท แม้ในข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ตาม แต่ก็มีผลเพียงให้ราษฎรผู้ครอบครองไม่อาจยกสิทธิใด ๆ ขึ้นโต้แย้งรัฐได้เท่านั้น แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมยกการยึดถือครอบครองขึ้นยันผู้อื่นได้ คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทต่อจากมารดาจำเลยที่ ๒ ซึ่งเข้าไปอยู่ก่อน และการที่มารดาจำเลยที่ ๒ เข้าไปอยู่ ต้องเสียค่าเช่าหรือค่าตอบแทนแก่โจทก์ทั้งสอง จึงแสดงว่าที่ดินพิพาทแต่ต้นโจทก์ทั้งสองได้ยึดถือครอบครองตลอดมา ทั้งได้ความว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทโดยนำใบเสร็จแสดงการเสียภาษีมาแสดง โดยจำเลยทั้งสองยอมรับว่าไม่เคยเสียภาษีบำรุงท้องที่เลย แม้ว่าใบเสร็จแสดงการเสียภาษีจะไม่ใช่เอกสารแสดงสิทธิครอบครองก็ตามแต่ก็เป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่จะแสดงว่าผู้เสียภาษียังคงยึดถือที่ดินแปลงนั้นอยู่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองต้องเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์ทั้งสองในการเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทเท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการอาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสองเป็นการครอบครองแทนโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยทั้งสอง เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองอยู่ต่อไป จำเลยทั้งสองจึงต้องออกจากที่ดินพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก์ทั้งสอง.

Share