คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2137/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายใช้บ้านพักอาศัยส่วนหนึ่งเปิดเป็นร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเวลาที่ผู้เสียหายเปิดบริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ บริเวณดังกล่าวย่อมเป็นสาธารณสถาน ซึ่งประชาชนทั่วไปรวมทั้งจำเลยที่ 1 มีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ แต่เมื่อผู้เสียหายปิดร้านหรือหมดเวลาให้บริการในแต่ละวันแล้ว บริเวณดังกล่าวจึงจะเป็นเคหสถานที่ใช้อยู่อาศัย ดังนั้น เมื่อขณะเกิดเหตุผู้เสียหายยังเปิดให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ การที่จำเลยที่ 1 เข้าไปในร้านดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364, 365, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (1) (2) (3) ประกอบด้วยมาตรา 364 ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 เดือน พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 นับว่าร้ายแรง จึงไม่รอการลงโทษ ข้อหาอื่นของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาบุกรุกสำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า นายชรายุทธ ผู้เสียหาย พักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 1/1 หมู่ที่ 1 ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งส่วนหนึ่งของบ้านดังกล่าวผู้เสียหายเปิดเป็นร้านรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสองได้เข้าไปในบ้านผู้เสียหายบริเวณซึ่งเปิดเป็นร้านรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยจำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนติดตัวเข้าไปด้วย ต่อมาจำเลยทั้งสองถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและร่วมกันบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ โจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้บ้านเกิดเหตุจะเป็นเคหสถานที่ผู้เสียหายใช้อาศัยแต่ผู้เสียหายก็ใช้ส่วนหนึ่งของบ้านดังกล่าวซึ่งได้แก่บริเวณที่เกิดเหตุ เปิดเป็นร้านรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย ในเวลาที่ผู้เสียหายยังเปิดให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ บริเวณดังกล่าวจึงเป็นสาธารณสถาน ซึ่งประชาชนทั่วไปหรือแม้แต่จำเลยที่ 1 ก็ดีมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ ต่อเมื่อผู้เสียหายปิดร้านหรือหมดเวลาให้บริการรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในแต่ละวันแล้วเท่านั้น บริเวณดังกล่าวจึงจะเป็นเคหสถานที่ผู้เสียหายใช้อยู่อาศัย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความผู้เสียหายว่า ในเวลาที่จำเลยที่ 1 เข้าไปในบ้านผู้เสียหายนั้น ผู้เสียหายยังเปิดให้บริการรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ โดยมีนายทอนไม่ทราบนามสกุล และพระภิกษุอีก 2 รูปซึ่งเป็นลูกค้าอยู่ในร้านด้วย การที่จำเลยที่ 1 เข้าไปในร้านของผู้เสียหายในเวลาดังกล่าว จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายดังคำพิพากษาศาลชั้นต้นและฎีกาของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share