คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21355/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นเลขานุการตำบล ล. และเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการและรักษาเงินงบประมาณค่าจ้างของสภาตำบล ล. ได้เบิกเงินงบประมาณค่าจ้างของสภาตำบล แล้วจ่ายเป็นค่าจ้างให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. ในขณะที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. ยังทำงานขุดลอกคลองไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ทั้งๆ ที่องค์การบริหารส่วนตำบล ล. ยังไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. การกระทำของจำเลยดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการและรักษาเงินงบประมาณค่าจ้างนั้น ได้เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริตอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 147, 157 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 988,140 บาท แก่สภาตำบลละหานปลาค้าวผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ส่วนข้อหาอื่นและคำขอให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 988,140 บาท แก่ผู้เสียหายให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ประกอบมาตรา 86 อีกบทหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่สภาตำบลละหานปลาค้าวผู้เสียหาย 988,140 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำในฐานะเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์แล้วเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 มาตรา 20 บัญญัติว่า “เลขานุการสภาตำบลมีหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการและการจัดการประชุมและงานอื่นใดตามที่สภาตำบลมอบหมาย” และคดีนี้ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยได้รับมอบหมายให้มีอำนาจหน้าที่รับซองสอบราคา ลงนามในสัญญาจ้าง เก็บรักษาเงินค่าจ้างเมื่อเสมียนตราจังหวัดนครราชสีมาจัดสรรให้สภาตำบลละหานปลาค้าว และเบิกถอนเงินดังกล่าวได้ ต่อมาจำเลยได้ลงลายมือชื่อร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1998/2549 ของศาลชั้นต้น เบิกเงินงบประมาณของสภาตำบลละหานปลาค้าวจำนวน 988,140 บาท จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาชุมพวง แล้วนำไปฝากไว้ที่ธนาคารออมสิน สาขาชุมพวง หลังจากนั้นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีดังกล่าวเบิกเงินจ่ายเป็นค่าจ้างให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด 1414 เค. ซี. คอนสตรัคชั่น ผู้รับจ้าง ทั้งที่ผู้รับจ้างยังทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญาแสดงให้เห็นว่าจำเลยซึ่งเป็นเลขานุการสภาตำบลละหานปลาค้าวเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการและรักษาเงินงบประมาณค่าจ้างจำนวน 988,140 บาท แล้วเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต ดังนั้นการที่จำเลยลงลายมือชื่อร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีดังกล่าวเบิกจ่ายเงินงบประมาณจำนวน 988,140 บาท ของสภาตำบลละหานปลาค้าวให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด 1414 เค. ซี. คอนสตรัคชั่น การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริตแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 อีกบทหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี เมื่อลดโทษกึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share