คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2132/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติตามมาตรา 134 ตรี ประกอบมาตรา 133 ทวิ วรรคห้า แห่ง ป.วิ.อ. ใช้บังคับสำหรับกรณีผู้ต้องหาอายุไม่เกินสิบแปดปีในขณะที่จะมีการสอบปากคำ เมื่อปรากฏว่าขณะที่พนักงานสอบสวนถามปากคำของจำเลยในฐานะผู้ต้องหา จำเลยมีอายุเกินสิบแปดปีแล้ว การสอบปากคำจำเลยของพนักงานสอบสวนจึงไม่จำเป็นต้องมีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่จำเลยในฐานะผู้ต้องหาร้องขอ และพนักงานอัยการเข้าร่วมในการถามปากคำจำเลยแต่อย่างใด แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะมีอายุไม่เกินสิบแปดปี
พนักงานสอบสวนไม่จำต้องสอบถามเรื่องทนายความตามมาตรา 134 ทวิ (ปัจจุบันมาตรา 134/1 วรรคหนึ่ง) ก่อนเริ่มถามคำให้การผู้ต้องหา ถ้าขณะเริ่มถามคำให้การผู้ต้องหา ผู้ต้องหามีอายุเกินสิบแปดปีแล้ว แม้ขณะกระทำความผิดผู้ต้องหาจะมีอายุไม่เกินสิบแปดปี
การนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบการดำเนินคดีนี้ เป็นการดำเนินการก่อนการสอบสวนผู้ต้องหา ไม่ใช่การสอบถามปากคำและมิใช่การชี้ตัวผู้ต้องหาซึ่งมีบทบัญญัติของกฎหมายโดยเฉพาะ จึงไม่จำเป็นต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการสอบสวนผู้ต้องหาอายุไม่เกินสิบแปดปีตามมาตรา 134 ตรี ประกอบมาตรา 133 ทวิ มาใช้บังคับ
ความผิดฐานลักทรัพย์ ผู้ครอบครองทรัพย์ที่ถูกคนร้ายลักทรัพย์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 335, 336 ทวิ, 357, 83, 33 ริบที่หมุนถอดยางอะไหล่ กับคีมตัดเหล็กของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง, 336 ทวิ ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 76 ให้จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี แต่เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดเพราะความเยาว์วัยหากได้รับการอบรมขัดเกลานิสัยความประพฤติน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยยิ่งกว่าจะให้รับโทษจำคุกอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลางมีกำหนด 1 ปี นับแต่วันพิพากษา ริบที่หมุนถอดยางอะไหล่ คีมตัดเหล็กของกลาง ส่วนข้อหารับของโจรให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ป.วิ.อ. มาตรา 133 ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สามปีขึ้นไป หรือในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสามปีและผู้เสียหายหรือพยานซึ่งเป็นเด็กร้องขอ หรือในคดีทำร้ายร่างกายเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี การถามปากคำเด็กไว้ในฐานะเป็นผู้เสียหายหรือพยาน ให้แยกกระทำเป็นส่วนสัดในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กและให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการเข้าร่วมให้การถามปากคำนั้นด้วย” มาตรา 134 ตรี บัญญัติว่า “ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 133 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวนผู้ต้องหาอายุไม่เกินสิบแปดปี” บทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าวหมายความว่า สำหรับการสอบสวน ผู้ต้องหาอายุไม่เกินสิบแปดปีพนักงานสอบสวนจะต้องแยกกระทำเป็นส่วนสัดในสถานที่ที่เหมาะสม และให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่ผู้ต้องหาร้องขอและพนักงานอัยการเข้าร่วมในการสอบสวนผู้ต้องหาที่มีอายุไม่เกินสิบแปดปีเว้นแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่ง ซึ่งมีเหตุอันควรไม่อาจรอบุคคลทั้งหมดดังกล่าวพร้อมกันได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134 ตรี (ปัจจุบันมาตรา 134/2) ประกอบด้วยมาตรา 133 ทวิ วรรคห้า บทบัญญัติดังกล่าวมุ่งคุ้มครองผู้ต้องหาที่มีอายุไม่เกินสิบแปดปี ขณะถูกสอบสวนเพราะผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี สภาพร่างกายและจิตใจของเด็กยังอ่อนแอ การถามปากคำส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็กและส่งผลให้การสอบสวนคลาดเคลื่อน แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่พนักงานสอบสวนถามปากคำของจำเลยในฐานะผู้ต้องหา จำเลยมีอายุเกินสิบแปดปีแล้ว แม้ขณะเกิดเหตุจะอายุไม่เกินสิบแปดปีก็ตาม การถามปากคำจำเลยของพนักงานสอบสวนจึงไม่จำเป็นต้องมีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการเข้าร่วมในการถามปากคำจำเลย ส่วนการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบการดำเนินคดีนี้เป็นการดำเนินการก่อนการสอบสวนผู้ต้องหา ไม่ใช่การถามปากคำผู้ต้องหา และมิใช่การชี้ตัวผู้ต้องหา ซึ่งมีบทบัญญัติของกฎหมายโดยเฉพาะ ดังนั้น แม้จะกระทำขณะที่จำเลยอายุไม่เกินสิบแปดปีจึงไม่จำเป็นต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการสอบสวนผู้ต้องหาอายุไม่เกินสิบแปดปีตามมาตรา 134 ตรี ประกอบมาตรา 133 ทวิ มาใช้บังคับ
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าในการถามคำให้การพนักงานสอบสวนมิได้ถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ เห็นว่า ป.วิ.อ. มาตรา 134 ทวิ วรรคหนึ่ง (ปัจจุบันมาตรา 134/1 วรรคหนึ่ง) บัญญัติว่า “ในคดีที่ผู้ต้องหาอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้” บทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายว่า ก่อนเริ่มการสอบสวน หากผู้ต้องหามีอายุไม่เกินสิบแปดปีพนักงานสอบสวนต้องถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีพนักงานสอบสวนต้องจัดหาทนายความไว้ แต่ในคดีนี้ในวันที่พนักงานสอบสวนเริ่มถามคำให้การจำเลย ขณะเมื่อจำเลยมีอายุเกินสิบแปดปีแล้ว พนักงานสอบสวนจึงไม่จำต้องปฏิบัติตามมาตรา 134 ทวิ แต่ประการใด
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า การสอบสวนคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 นำรถยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 ไปใช้เป็นการส่วนตัว ผู้เสียหายที่ 2 จึงมิใช่ผู้ครอบครองรถยนต์โดยสาร เมื่อมีคนร้ายลักเอาฝาครอบล้อรถยนต์ไป ผู้เสียหายที่ 2 จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความยืนยันว่าผู้เสียหายที่ 1 มอบรถยนต์ให้ผู้เสียหายที่ 2 ไว้ใช้เพื่อไปทำงาน ซึ่งผู้เสียหายที่ 2 ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวตลอด เมื่อมีคนร้ายลักเอาฝาครอบล้อรถยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 2 ครอบครองอยู่ อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ผู้เสียหายที่ 2 จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีได้ การสอบสวนคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share