คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2322/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยกับพวกสนับสนุนให้ พ. ยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนโดยแจ้งความอันเป็นเท็จว่า พ. เป็นคนมีสัญชาติไทยและไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนเป็นเหตุให้พนักงานเจ้าหน้าที่หลงเชื่อออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ พ. โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. บัตรประจำตัวประชาชน มาตรา 14 วรรคสาม การกระทำของจำเลยคงมีความผิดตาม พ.ร.บ. บัตรประจำตัวประชาชน มาตรา 14 (1) ประกอบด้วย ป.อ. มาตรา 86 ที่มีระวางโทษเบากว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. บัตรประจำตัวประชาชน มาตรา 14 วรรคสาม จึงเป็นการพิพากษาเกินกว่าที่โจทก์บรรยายในฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
การที่จำเลยกับพวกร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จในแบบคำร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านบุคคลประเภท 5 ทั้งที่ พ. มีเชื้อชาติและสัญชาติเขมรและร่วมกันแสดงหลักฐานดังกล่าวเพื่อเพิ่มชื่อ พ. ในทะเบียนบ้านและสนับสนุนให้ พ. ยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าเป็นคนสัญชาติไทยจนเจ้าพนักงานออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ พ. เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวคือเพื่อให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ พ. การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 83, 84, 137, 267, 91 พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 50 พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 50 วรรคหนึ่ง ป.อ. มาตรา 83 เป็นความผิด 2 กรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 ให้วางโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 ปี ความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 วรรคสาม ให้จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลหัวโพธิ์ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้พานายพลไปพบนายไชยวัฒน์ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายทะเบียน ว่านายพลเป็นคนไทยเกิดในท้องที่เดียวกับจำเลยแต่เป็นบุคคลตกสำรวจและมิได้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนท้องที่ซึ่งเป็นความเท็จ เพื่อให้นายทะเบียนเพิ่มชื่อนายพลลงในแบบคำร้องขอเพิ่มชื่อในบุคคลประเภท 5 เพื่อเป็นพยานหลักฐานเพิ่มชื่อนายพลลงในทะเบียน นายไชยวัฒน์หลงเชื่อจึงจดชื่อนายพลลงในแบบคำร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านแก่บุคคลประเภท 5 และให้เลขประจำตัวประชาชน หลังจากนั้นนายพลได้นำแสดงหลักฐานแบบการให้เลขประจำตัวประชาชนบุคคลประเภท 5 ว่านายพลเป็นผู้มีสัญชาติไทยยังไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านซึ่งเป็นความเท็จ ทำให้นายไชยวัฒน์หลงเชื่อและเพิ่มชื่อนายพลลงในทะเบียนบ้านเลขที่ 187 หมู่ที่ 5 ตำบลหัวโพธิ์ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมานายพลได้ยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนโดยแจ้งความเท็จว่านายพลมีสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน นายไชยวัฒน์หลงเชื่อ จึงออกบัตรประจำตัวประชาชนให้ทั้ง ๆ ที่นายพลไม่สามารถมีบัตรประจำตัวประชาชนได้
ปัญหาว่าโจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยกับพวกสนับสนุนให้นายพลยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนโดยแจ้งความอันเป็นเท็จว่า นายพลเป็นคนมีสัญชาติไทยและไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนเป็นเหตุให้พนักงานเจ้าหน้าที่หลงเชื่อออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่นายพล โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน มาตรา 14 วรรคสาม การกระทำของจำเลยคงมีความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน มาตรา 14 (1) ประกอบด้วย ป.อ. มาตรา 86 ที่มีระวางโทษเบากว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน มาตรา 14 วรรคสาม จึงเป็นการพิพากษาเกินกว่าที่โจทก์บรรยายในฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
การที่จำเลยกับพวกร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จในแบบคำร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านบุคคลประเภท 5 ทั้งที่นายพลมีเชื้อชาติและสัญชาติเขมร และร่วมกันแสดงหลักฐานดังกล่าวเพื่อเพิ่มชื่อนายพลในทะเบียนบ้านและสนับสนุนให้นายพลยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าเป็นคนสัญชาติไทยจนเจ้าพนักงานออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่นายพล เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียว คือเพื่อให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่นายพล การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมกันจึงไม่ชอบ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 50 วรรคหนึ่ง ป.อ. มาตรา 83 พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 (1) ประกอบด้วย ป.อ. มาตรา 86 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 (1) ประกอบด้วย ป.อ. มาตรา 86 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7.

Share