แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ จากโจทก์ในราคา 66,384 บาทผ่อนชำระได้ 22,128 บาท แล้วผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาและติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้หลังจากวันทำสัญญาเช่าซื้อแล้วถึง1 ปี 5 เดือนเศษ รถยนต์ คันที่เช่าซื้อ ย่อมทรุดโทรมเสื่อมราคาไปเพราะการใช้ของจำเลยที่ 1 ราคาในขณะที่โจทก์ติดตามยึดคืนมาได้จึงต้องต่ำกว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ได้นำออกขายทอดตลาดได้เงิน13,000 บาท เมื่อนำเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระแล้วมารวมกับเงินที่โจทก์ได้จากการขายทอดตลาดแล้วยังต่ำกว่าราคาเช่าซื้อ ประกอบกับตามสัญญาเช่าซื้อระบุให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ตลอดจนค่าเสื่อมราคาเมื่อมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อ จึงเห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญา และจำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ในราคา ๖๖,๓๘๔ บาท ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวด งวดละ ๑,๘๔๔ บาท รวม ๓๖ งวด จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ ๑๓-๑๗ เกินกว่าสองงวดติดต่อกัน โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและติดตามยึดรถที่เช่าซื้อคืนเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๖ จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดในเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเป็นเวลา ๕ งวด เป็นเงิน ๙,๒๒๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๐ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ถึงวันฟ้อง รวมระยะเวลา ๑๗ เดือน เป็นดอกเบี้ย ๒,๔๕๘ บาท รวมเป็นเงิน ๑๑,๖๗๘ บาท ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องติดตามรถคืน ๑,๔๐๐ บาทรถที่ยึดคืนมีสภาพชำรุดมาก โจทก์ประมูลขายได้เพียง ๑๓,๐๐๐ บาท เป็นเหตุให้โจทก์ขาดทุนเป็นเงิน ๓๑,๒๕๖ บาท ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน ๑๑,๖๗๘ บาทชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๑,๒๕๖ บาท ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๔๔,๓๓๔ บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าชำระโจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีโดยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๑๒,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระโจทก์เสร็จ
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า รถคันที่เช่าซื้อโจทก์ตีราคาไว้ ๓๐,๐๐๐ บาท เมื่อนำเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ ๑ชำระให้โจทก์แล้ว ๒๒,๑๒๘ บาท รวมกับเงินที่โจทก์ขายทอดตลาดรถคันที่เช่าซื้อได้อีก ๑๓,๐๐๐ บาท ย่อมเกินราคารถคันที่เช่าซื้อโจทก์จึงไม่เสียหายแต่อย่างใดนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๓ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงราคาค่าเช่าซื้อรถคันที่เช่าซื้อไว้เป็นเงิน ๖๖,๓๘๔ บาท แต่ขณะที่โจทก์ติดตามยึดรถคันที่เช่าซื้อคืนมาได้เป็นเวลาภายหลังจากวันทำสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๓ มาแล้วถึง ๑ ปี ๕ เดือนเศษ รถยนต์คันที่เช่าซื้อย่อมทรุดโทรมเสื่อมราคาไปเพราะการใช้ของจำเลยที่ ๑ เช่นนี้ราคารถคันที่เช่าซื้อในขณะที่โจทก์ติดตามยึดรถคืนมาได้ จึงต้องมีราคาต่ำกว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อ เมื่อพิจารณานำเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ ๑ ชำระให้โจทก์มาแล้ว ๒๒,๑๒๘ บาท มาคำนวณรวมกับเงินที่โจทก์ขายทอดตลาดรถคันที่เช่าซื้อได้อีก ๑๓,๐๐๐ บาทก็ยังต่ำกว่าราคาค่าเช่าซื้อที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงกันไว้ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๓ เป็นเงินถึง ๓๑,๒๕๖ บาทประกอบกับตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๓ ระบุให้จำเลยที่ ๑ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ตลอดจนค่าเสื่อมราคาเมื่อมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวด้วยจึงเห็นได้ชัดว่า โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าติดตามรถยนต์จำนวน ๑,๔๐๐ บาทแก่โจทก์นั้น ปรากฏว่าตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองให้ชำระเงินจำนวนนี้ด้วย จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ข้อนี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๑,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.