แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่5เมษายน2484บ.ด้วยความยินยอมของจ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์โดยบ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่1841กับที่ดินโฉนดเลขที่1842ของโจทก์และบ. ด้วยความรู้เห็นยินยอมของจ. ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า10ปีแล้วในพ.ศ.2499โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่234สูง5ชั้นชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่419ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่214/4และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2ชั้นรวม7คูหาโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้นขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้องโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่419เฉพาะส่วนปลูกตึก5ชั้นและเรือนไม้เลขที่234และตึกแถวเลขที่214/4ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนแม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2499 โจทก์สร้างตึก 5 ชั้น และเรือนไม้ เลขที่ 234 ขึ้นบนบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 419เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ชั้นล่างของตึกด้านติดถนนมหาจักรได้กั้นเป็นห้องเลขที่ 214/4 โดยได้รับความยินยอมจากนางสาวบุตรีเจ้าของกรรมสิทธิ์ หลังจากนั้นโจทก์ได้เข้าครอบครองและอยู่อาศัยในตึกและเรือนไม้เลขที่ 234 และห้องเลขที่ 214/4 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 419 เฉพาะส่วนโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยสุจริตติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนที่ปลูกตึกและเรือนไม้และห้องดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2528จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวบุตรีได้ยื่นคำร้องต่อเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ขอโอนตึกและเรือนไม้เลขที่ 234 และห้องเลขที่ 214/4 โดยอ้างว่าปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 419 ให้แก่จำเลยที่ 3 ผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของนางสาวบุตรี ทั้งที่จำเลยทั้งสามทราบดีว่าตึกแถวและเรือนไม้และห้องดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์จึงได้ทำหนังสือคัดค้านการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าวทางเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จึงไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าวและได้แนะนำให้โจทก์ดำเนินการทางศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม2512 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวบุตรีได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 3 โดยระบุว่าสิ่งปลูกสร้างที่โอนกันนั้น มีตึกแถว2 ชั้น 7 คูหา ริมถนนมหาจักรเท่านั้น ซึ่งมิได้รวมถึงตึก5 ชั้น และเรือนไม้เลขที่ 234 และห้องเลขที่ 214/4 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เพราะจำเลยทั้งสามทราบถึงกรรมสิทธิ์ของโจทก์เป็นอย่างดีอยู่แล้ว และตามพินัยกรรมของนางสาวบุตรีเจ้าของที่ดินก็ไม่ได้ระบุทรัพย์มรดกรวมถึงตึก 5 ชั้นและเรือนไม้เลขที่ 234 และห้องเลขที่ 214/4 ของโจทก์ไว้ด้วยแต่อย่างใดจำเลยทั้งสามไม่เคยโต้แย้งสิทธิและรบกวนการครอบครองของโจทก์ดังนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีอำนาจขอโอนตึก 5 ชั้น และเรือนไม้เลขที่ 234 และห้องเลขที่ 214/4 ให้แก่จำเลยที่ 3เพราะไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนางสาวบุตรีขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 419 เฉพาะส่วนที่ปลูกตึก 5 ชั้น และเรือนไม้เลขที่ 234 และห้องเลขที่ 214/4 ถนนมหาจักร เนื้อที่ 43 ตารางวาพร้อมตึก 5 ชั้น และเรือนไม้เลขที่ 234 และห้องเลขที่ 214/4เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ให้ใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนในโฉนดที่ดินด้วย ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกถอนคำร้องขอโอนตึก 5 ชั้นและเรือนไม้เลขที่ 234 และห้องเลขที่ 214/4 ให้แก่จำเลยที่ 3ที่ยื่นไว้ที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย หากไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีหลายประการ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ถึงแก่กรรมนายสทิธา กรลักษณ์ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ตึกและเรือนไม้เลขที่ 234กับห้องเลขที่ 214/4 เป็นของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ขอถอนคำร้องฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2528 ที่ขอโอนอาคารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ยื่นไว้ที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายเสียหากไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1และที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามฎีกาว่าฟ้องโจทก์คดีนี้ซ้ำกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736-737/2524 ปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลอุทธรณ์เห็นว่าฝ่ายจำเลยมิได้อุทธรณ์ จึงไม่วินิจฉัยให้ศาลฎีกาเห็นว่าเหตุที่จำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์ก็เพราะว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชนะคดี แต่จำเลยทั้งสามก็ยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์คดีนี้ซ้ำกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่736-737/2524 จึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ด้วยว่าฟ้องโจทก์คดีนี้ซ้ำกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736-737/2524หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาใหม่เพราะข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวแล้วข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลแพ่งเรื่องขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่ 5 เมษายน 2484 นางสาวบุตรี กรลักษณ์ด้วยความยินยอมของนางสาวจำรวยเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ โดยนางสาวบุตรียอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่ 1841 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 1842ตำบลดาวคนองฝั่งเหนือ (บางน้ำชล) อำเภอธนบุรี จังหวัดธนบุรีของโจทก์ และนางสาวบุตรีด้วยความรู้เห็นยินยอมของสาวจำรวยยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที 419 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า10 ปีแล้ว ใน พ.ศ. 2499 โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่ 234 สูง5 ชั้น ชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่ 419 ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่ 214/4 และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2 ชั้น รวม 7 คูหา โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้นขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ พิพากษายกฟ้อง ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่736-737/2524 โจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 419 เฉพาะส่วนปลูกตึก 5 ชั้น และเรือนไม้เลขที่ 234และตึกแถวเลขที่ 214/4 ถนนมหาจักร ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอน เห็นว่าแม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยโจทก์รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้ในคดีก่อน ซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันคือครอบครองปรปักษ์ ส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกในประเด็นที่วินิจฉัยโดยเหตุเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์