แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีที่เด็กหรือเยาวชนถูกฟ้องคดีอาญาทุกประเภท เว้นแต่เยาวชนที่มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์ในขณะกระทำความผิดได้กระทำความผิดอาญาในลักษณะร้ายแรงตามมาตราต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 8(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนพ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 163ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2515 ศาลคดีเด็กและเยาวชนจึงจะไม่มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดี เมื่อปรากฏว่าขณะกระทำความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ จำเลยอายุไม่เกินกว่า 16 ปีบริบูรณ์ แม้ขณะโจทก์ฟ้องจำเลยมีอายุ 16 ปี 3 เดือนเศษ โจทก์ก็ต้องฟ้องต่อศาลคดีเด็กและเยาวชน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดในข้อหาพยายามชิงทรัพย์ จำเลยรับสารภาพและยื่นคำร้องว่า ในขณะกระทำผิด จำเลยมีอายุไม่ถึง16 ปี ขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษ ศาลชั้นต้นสั่งว่าความปรากฏภายหลังประทับฟ้องว่า ขณะทำผิด จำเลยอายุไม่เกิน16 ปี ให้โอนคดีไปยังศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนฯ มาตรา 12 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ความประสงค์ที่จัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนขึ้นก็เพื่อสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน จึงมีบทบัญญัติว่าด้วยการสอบสวน การพิจารณา และการพิพากษาคดีเป็นพิเศษผิดกับคดีธรรมดา สำหรับการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาก็มีบัญญัติไว้ในมาตรา 8(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 163 ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2515 ว่า ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีอาญาที่มีข้อหาว่าเด็กหรือเยาวชนกระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เว้นแต่คดีอาญาที่มีข้อหาว่าเยาวชนซึ่งอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์กระทำความผิดตามมาตรา 339 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ หมายความว่า ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีที่เด็กหรือเยาวชนถูกฟ้องคดีอาญาทุกประเภท เว้นแต่เยาวชนที่มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์ได้กระทำความผิดในลักษณะร้ายแรงตามมาตราต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นศาลคดีเด็กและเยาวชนจึงจะไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี คดีนี้ปรากฏว่าขณะจำเลยกระทำความผิดมีอายุไม่เกินกว่า 16 ปีบริบูรณ์ แม้ได้ความว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยมีอายุ 16 ปี 3 เดือนเศษแล้ว โจทก์ก็ต้องฟ้องต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีนี้ คำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน