คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิม ธ. ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินกับจำเลยที่ 2 ต่อมา ธ. ได้โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ดินดังกล่าวให้แก่ เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยที่ 2 จนครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ทันได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อ จำเลยที่ 2 ก็ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ดังนี้หนี้ขอรับชำระจึงเป็นหนี้ที่มีมูลมาจากการเช่าซื้อที่ดินซึ่งเจ้าหนี้ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาจาก ธ. ผู้เช่าซื้อเดิม อันเป็นหนี้ที่มูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จึงเป็นหนี้ที่ขอรับชำระได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 และเจ้าหนี้ เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อนี้มาโดยชอบตามมาตรา 303 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการโอนสิทธิเรียกร้องก็ทำโดยถูกต้องสมบูรณ์ตามมาตรา 306 โดย ธ. ผู้โอนได้บันทึกการโอนสิทธิเป็นหนังสือ และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้แห่งสิทธินั้นได้บันทึกยินยอมไว้เป็น หนังสือในสัญญาเช่าซื้อโดยแจ้งชัด เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้จึงมีสิทธิสมบูรณ์ในฐานะเป็นผู้รับโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ โดยชอบ และกรณีไม่จำต้องมีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อกัน ใหม่ระหว่างเจ้าหนี้ผู้รับโอนกับจำเลยที่ 2 ผู้ให้เช่าซื้ออีก

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลาย ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2524 นางเย็นใจ อภัยจิตร์ ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เป็นค่าราคาที่ดินตามสัญญาเช่าซื้อที่ดิน และค่าราคาที่ดินตามสัญญาจะซื้อขาย รวมเป็นเงิน 45,125 บาท

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว รายงานความเห็นเสนอศาลว่าควรยกคำขอรับชำระหนี้

ศาลชั้นต้นไม่เห็นพ้องด้วยกับความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ มีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รวมเป็นเงิน 45,125 บาทตามคำขอ

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์ให้ยกคำขอรับชำระหนี้รายนี้

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมนายธิติได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 856จากจำเลยที่ 2 ในราคา 25,500 บาท โดยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเดือนละ 300, 400,500, 600 บาท ตามกำหนดช่วงเวลาในสัญญา ต่อมานายธิติผู้เช่าซื้อได้ทำบันทึกลงในสัญญาเช่าซื้อถึงจำเลยที่ 2 มีข้อความว่า ได้ขายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ ขอให้จำเลยที่ 2 เปลี่ยนชื่อในสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นชื่อของเจ้าหนี้ด้วย จำเลยที่ 2 ได้บันทึกข้อความลงในสัญญาว่าทราบแล้วและลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ไว้ด้วย หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ได้ทำบันทึกข้อความลงในแผนที่แนบท้ายสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวว่า เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากนายธิติเป็นเงิน 24,625 บาท ได้ตกลงชำระเป็นค่าที่ดินแปลงแรกครบถ้วนแล้ว และได้เริ่มผ่อนส่งสำหรับแปลงที่ 2 โดยที่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายให้ และตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสองแปลงทันทีเมื่อออกโฉนดแล้วจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ต่อท้ายข้อความดังกล่าวเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยที่ 2 ต่อจากนายธิติผู้เช่าซื้อเดิมโดยครบถ้วนจำนวนเงิน 45,125 บาท แต่ในที่สุดไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้เพราะโฉนดยังแบ่งแยกไม่เสร็จ จนกระทั่งจำเลยที่ 2 ถูกฟ้องล้มละลายและถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้มานี้เป็นหนี้ที่มีมูลมาจากการเช่าซื้อที่ดินซึ่งเจ้าหนี้ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากนายธิติผู้เช่าซื้อตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2515 มูลแห่งหนี้รายนี้เกิดจากสัญญาเช่าซื้อเดิมซึ่งจำเลยที่ 2 ทำไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2513อันเป็นหนี้ที่มูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จึงเป็นหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ได้ตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483เจ้าหนี้เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อนี้มาโดยชอบตามมาตรา 303แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การปฏิบัติในการโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้รายนี้ก็ทำโดยถูกต้องสมบูรณ์ตามมาตรา 306 โดยนายธิติผู้โอนได้บันทึกการโอนสิทธินั้นไว้เป็นหนังสือเช่นกัน ดังปรากฏในเอกสารสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.1, จ.2โดยแจ้งชัดแจ้ง เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิสมบูรณ์ในฐานะเป็นผู้รับโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อนั้นโดยชอบ ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาว่า ต้องมีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อกันใหม่ระหว่างเจ้าหนี้ผู้รับโอนกับจำเลยที่ 2 ผู้ให้เช่าซื้ออีกชั้นหนึ่งจึงจะมีผลใช้ได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share