คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บันทึกกักสินค้าหลังใบขนสินค้าไม่ใช่การจับกุมตามคำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรที่ 24/2508 เรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับใบแจ้งความนำจับ รายงานการจับกุม และรายงานการตรวจพบการเก็บอากรขาด เมื่อพนักงานศุลกากรจับกุมแล้ว ต้องทำรายงานการจับกุมต่อผู้บังคับบัญชาด้วย เมื่อผู้ร้องไม่ได้ทำรายงานการจับกุมเพียงแต่บันทึกกักสินค้าหลังใบขนสินค้า ผู้ร้องซึ่งเป็นพนักงานศุลกากรจึงไม่ใช่ผู้จับกุมบุคคลที่กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลการจับกุม
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ก.ต.ภ. ในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรมีอยู่เฉพาะตาม พระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503มาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2506 มาตรา 3ไม่ได้มีอำนาจทั่วไปอย่างที่พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจจะพึงมี กล่าวคือมีอำนาจจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 วรรคท้าย โดยไม่มีหมาย แต่ต้องจับด้วยตนเองและต้องเป็นกรณีออกหมายจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั้งยังมีข้อจำกัดอำนาจอยู่ตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503 มาตรา 6 (3) ว่าต้องเป็นกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วนด้วย จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสำนักงานที่แน่นอน จึงไม่ใช่กรณีที่จำเป็นหรือเร่งด่วนที่จะต้องทำการจับกุมแต่อย่างใดอำนาจจับโดยไม่ต้องมีหมายประธาน ก.ต.ก. หามีอำนาจมอบให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปฏิบัติแทนไม่ผู้ร้องที่เป็นพนักงาน ก.ต.ก. จึงไม่ใช่ผู้จับกุมจำเลยไม่มีสิทธิได้รับรางวัลการจับกุมเช่นเดียวกัน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องบริษัทอุตสาหกรรมกระดาษไทยจำกัด ในความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานสำแดงใบขนสินค้าอันเป็นเท็จตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๙๙ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๑๖ และมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ พิพากษาปรับจำเลย และให้จ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบของค่าปรับแก่เจ้าหน้าที่ผู้จับกุมตามมาตรา ๗ วรรคสอง และมาตรา ๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. ๒๔๙๘
ผู้ร้องทั้ง ๒๒ คนได้ยื่นคำร้องขอรับรางวัลการจับกุมโดยต่างอ้างว่าตนเป็นผู้จับกุม จำเลยมีสิทธิได้รับเงินรางวัลการจับกุม
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้ง ๒๒ ราย
ผู้ร้องที่ ๑ และผู้ร้องที่ ๓ ถึง ๒๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จ่ายรางวัลให้แก่ผู้ร้องที่ ๑ ผู้ร้องที่ ๑๓ ถึง ๑๖และผู้ร้องที่ ๑๘ ถึง ๒๑
โจทก์และผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๑๒ ที่ ๑๗ ถึงที่ ๒๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องทั้งหมดที่อ้างว่าเป็นผู้จับกุมจำเลยและขอรับเงินรางวัลแบ่งออกได้เป็น ๒ ฝ่าย คือพนักงานศุลกากรฝ่ายหนึ่ง และพนักงาน ก.ต.ก.อีกฝ่ายหนึ่ง
สำหรับพนักงานศุลกากร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรที่ ๒๔/๒๕๐๘ เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับใบแจ้งความนำจับ รายงานการจับกุมและรายงานการตรวจพบการเก็บอากรขาด เมื่อพนักงานศุลกากรจับกุมแล้วต้องทำรายงานการจับกุมเสนอต่อผู้บังคับบัญชาด้วย แต่เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นพนักงานศุลกากรบันทึกกักสินค้าหลังใบขนแล้ว ไม่ได้นำรายงานการจับกุมเสนอต่อผู้บังคับบัญชาเลย ที่ผู้ร้องที่ ๙ ซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมศุลกากรฝ่ายปราบปรามในขณะนั้นเบิกความว่า เมื่อบันทึกกักสินค้าหลังใบขนแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำรายงานการจับกุมในทันที ในทางปฏิบัติส่วนมากมักจะทำรายงานการจับกุมหลังจากเรื่องเสร็จแล้ว เพื่อประกอบเป็นหลักฐานในการขอรับสินบนและรางวัลการจับกุม เป็นทำนองว่า เหตุที่เรื่องนี้ไม่มีรายงานการจับกุมก็เพราะเรื่องยังไม่เสร็จนั้น เห็นว่า คำสั่งทั่วไปของกรมศุลกากรดังกล่าวมีความมุ่งหมายเพื่อให้การจ่ายเงินสินบนและรางวัลเป็นไปโดยถูกต้องและรัดกุม ตามคำสั่งข้อ ๒และ ๒๐๑ การรายงานการจับกุมของพนักงานศุลกากร ให้ทำตามแบบ ๓๐๖ ในส่วนกลาง ให้ผู้จับทำรายงานการจับกุมเสนอต่อผู้บังคับบัญชาอย่างช้าก่อนสิ้นเวลาราชการของวันถัดจากวันที่มีการจับกุม และให้ผู้บังคับบัญชาเสนอต่อไปตามลำดับโดยพลัน โดยให้ผู้เสนอแต่ละคนลงวันเวลาที่เสนอจนถึงอธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายภายในสามวันนับแต่วันที่มีการจับกุม ถ้าวันที่ครบกำหนดสามวันเป็นวันหยุดราชการ ให้เสนอภายในวันแรกที่เปิดที่ทำการ และตามข้อ ๒.๓ ในกรณีที่ไม่อาจทำรายงานการจับกุมโดยละเอียดได้ ให้รายงานโดยย่อ และชี้แจงข้อขัดข้องภายในกำหนดเวลาตามข้อ ๒.๑ คำสั่งเกี่ยวกับรายงานการจับกุมมีรายละเอียดชัดเจนเช่นนี้ คำเบิกความของผู้ร้องที่ ๙ จึงรับฟังไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ที่เป็นพนักงานศุลกากรอยู่ในฐานะที่ควรจะรู้ระเบียบดังกล่าวดี และควรจะรู้ด้วยว่า เงินรางวัลการจับกุมในกรณีนี้เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย หากว่าพนักงานศุลกากรจะถือว่า บันทึกกักสินค้าหลังใบขนสินค้าเป็นบันทึกการจับกุมก็ชอบที่จะทำรายงานการจับกุมตามระเบียบดังกล่าว เพื่อเป็นหลักฐานการรับเงินรางวัล การที่ไม่มีรายงานการจับกุม แสดงให้เห็นว่าพนักงานศุลกากรไม่ได้ถือว่า การบันทึกกักสินค้าหลังใบขนเป็นการจับกุมจำเลยแล้ว ผู้ร้องที่เป็นพนักงานศุลกากรจึงไม่มีสิทธิได้รับรางวัลการจับกุม ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องที่เป็นพนักงานศุลกากรในประเด็นอื่นต่อไป
ส่วนผู้ร้องที่เป็นพนักงาน ก.ต.ก. นั้น โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๑๓ถึงที่ ๑๖ และที่ ๑๘ ถึงที่ ๒๑ ไม่ได้เป็นผู้จับกุมจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๓, ๘๔ ผู้ร้องที่ ๑ และที่ ๑๘ ถึงที่ ๒๑ ฎีกาว่าผู้ร้องที่ ๑๓ ถึงที่ ๑๖ มิใช่ผู้จับกุมจำเลย ไม่มีสิทธิได้รับรางวัล และฎีกาด้วยว่า ผู้ร้องที่ ๑๘ ซึ่งเป็นเลขาธิการ ก.ต.ภ. ในขณะนั้น เป็นผู้จับกุมจำเลย มีสิทธิได้รับเงินรางวัลจำนวนนี้ทั้งหมดแต่ผู้เดียว เพื่อนำไปพิจารณาแบ่งจ่ายให้ผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๑๙ ถึงที่ ๒๑ กับผู้ร่วมปฏิบัติงานเรื่องนี้จนเป็นผลดีแก่ราชการตามระเบียบของสำนักงาน ก.ต.ภ. ว่าด้วยเงินรางวัล และผู้ร้องที่ ๑๗ ฎีกาว่า ผู้ร้องมีตำแหน่งหน้าที่เป็นคนขับรถ ได้ขับรถรับส่งผู้ร้องที่ ๑๓ ถึงที่ ๑๗และที่ ๑๙ ถึงที่ ๒๑ ไปปฏิบัติงานมีสิทธิได้รับเงินรางวัลตามระเบียบของสำนักงาน ก.ต.ภ. ด้วย ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยฎีกาดังกล่าวรวมกัน
ศาลฎีกาเห็นว่า อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ก.ต.ภ. ในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรมีอยู่ตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๕(๑)(๒)(๓)และมาตรา ๖ แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๓ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะเกิดเรื่องนี้ โดยเฉพาะอำนาจในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรมีอยู่ดังนี้
“มาตรา ๖ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕(๑)(๒) และ(๓) ให้กรรมการมีอำนาจดังต่อไปนี้
(๓) ในกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของก.ต.ภ. ให้มีอำนาจเช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่จะจับผู้ซึ่งมีเหตุอันควรเชื่อว่าได้กระทำความผิดกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร
ให้ประธานกรรมการมีอำนาจมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปฏิบัติการตามอำนาจในมาตรานี้ทั้งหมด หรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดก็ได้ โดยทำเอกสารการมอบหมายให้ไว้ประจำตัวเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายนั้น
เจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการตามความในวรรคก่อน ต้องแสดงเอกสารการมอบหมายนั้นเมื่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องร้องขอ”
อำนาจในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรของผู้ร้องที่ ๑๘ซึ่งเป็นกรรมการ ก.ต.ภ. โดยตำแหน่งมีอยู่เฉพาะตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖(๓)เท่านั้น ผู้ร้องที่ ๑๘ ไม่ได้มีอำนาจทั่วไปอย่างที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะพึงมี กล่าวโดยเฉพาะในกรณีนี้ก็คือ ผู้ร้องที่ ๑๘ มีอำนาจจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๗๘ วรรคท้ายโดยไม่ต้องมีหมาย แต่ต้องจับด้วยตนเอง และต้องเป็นกรณีที่อาจออกหมายจับได้หรือจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั้งยังมีข้อจำกัดอำนาจอยู่ตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐพ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๖(๓) ว่า ต้องเป็นกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วนด้วย กล่าวคือ ถ้าไม่จับกุม จะเกิดความเสียหายแก่ราชการ แต่กรณีนี้อธิบดีกรมศุลกากรสั่งปล่อยกระดาษของกลางให้ผ่านพิธีการศุลกากรไปได้ตั้งแต่วันที่ ๕ กรกฎาคม๒๕๑๔ ผู้ร้องที่ ๑ ได้รับทราบเรื่องนี้เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๔ ได้มีการสืบสวนและรวบรวมหลักฐานต่อมา จนกระทั่งวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๕ ผู้ร้องที่ ๑๘ จึงได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมตำรวจตามเอกสารหมาย ร.๕๒ ว่า ประธาน ก.ต.ภ.ได้มอบอำนาจให้ผู้ร้องที่ ๑ เป็นผู้นำหลักฐานทั้งหมดมาร้องเรียกกล่าวโทษจำเลย จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีสำนักงานที่แน่นอนเห็นได้ว่าไม่ใช่กรณีที่จำเป็นหรือเร่งด่วนแต่อย่างใด จึงไม่ใช่กรณีที่ผู้ร้องที่ ๑๘ จะจับจำเลยได้ตามอำนาจที่มีอยู่และอำนาจจับโดยไม่ต้องมีหมายนี้ ประธานกรรมการ ก.ต.ภ.หามีอำนาจมอบให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปฏิบัติการแทนไม่ ผู้ร้องที่เป็นพนักงาน ก.ต.ภ. จึงไม่ใช่ผู้จับจำเลย ไม่มีสิทธิได้รับรางวัลการจับกุมเช่นเดียวกัน ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์และฎีกา ผู้ร้องที่เป็นพนักงาน ก.ต.ภ. ในประเด็นอื่นต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๑๓ ถึงที่ ๑๖ และที่ ๑๘ถึงที่ ๒๑ เสียด้วย

Share