แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 290 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2515 แม้ในข้อ 25 ของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวจะบัญญัติให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของแต่ก็ให้นำข้อ 24 มาใช้บังคับโดยอนุโลมดังนั้น คำว่า ‘ชดใช้ค่าเสียหาย’ ในข้อ 25 ก็คือ’ค่าทำขวัญ’ ตามข้อ 24 นั่นเอง
การที่รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินของราษฎรมาให้จำเลยสร้างทางพิเศษนั้น. เป็นการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์แก่สาธารณชนทั่วไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการจราจรเป็นพิเศษ การที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องจ่ายค่าทำขวัญหรือชดใช้ค่าเสียหายให้กับราษฎร ไม่มีลักษณะเป็นการซื้อขายที่ผู้ถูกเวนคืนที่ดินจะเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายเสมือนหนึ่งว่าเสนอขายต่อเอกชนด้วยกัน เงินค่าทำขวัญหรือเงินชดใช้ค่าเสียหายมิใช่เงินทดแทนความเสียหายตามความจริงโดยสิ้นเชิง แต่เป็นเงินชดเชยที่กำหนดให้โดยคำนึงถึงความจำเป็นของรัฐ ในลักษณะที่เป็นธรรมและเหมาะสมด้วยกันทั้งสองฝ่าย
จำเลยกำหนดเงินชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์โดยอาศัยบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาด เพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในท้องที่เปรียบเทียบกับประกาศราคาปานกลางของที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ โดยถือเอาราคาที่สูงกว่าเป็นเกณฑ์ในการชดใช้ค่าเสียหาย นับว่าจำเลยได้ใช้หลักเกณฑ์ในลักษณะที่เป็นธรรมและเหมาะสมด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินรวม 4 โฉนดอยู่ที่ตำบลปทุมวันอำเภอปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ที่ดินของโจทก์บางส่วนถูกเวนคืนโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนฯ เพื่อสร้างทางพิเศษสายดินแดง -ท่าเรือ จำเลยกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ 5,783.97 บาท แต่โจทก์เห็นว่าค่าทดแทนจำนวนดังกล่าวต่ำกว่าราคาที่ดินที่แท้จริงและราคาอันเป็นธรรมอยู่อีก 13,788,750 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าทดแทนเพิ่มอีก 13,788,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ค่าทดแทนที่จำเลยกำหนดให้เป็นราคาที่เป็นธรรมเหมาะสมแล้วเพราะเป็นราคาซื้อขายในท้องตลาด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินทดแทนให้โจทก์อีก 970,250บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยว่าค่าทดแทนตามราคาที่เวนคืนต่ำไปหรือไม่ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 23 วรรคแรก บัญญัติว่า “เมื่อได้มีประกาศของรัฐมนตรีกำหนดการสร้างหรือขยายทางพิเศษและปรากฏว่าจำเป็นต้องเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ใดให้ออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ” ข้อ 24 บัญญัติเป็นใจความว่าเมื่อใดมีการออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์แล้ว ให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์และมีผู้มีสิทธิได้รับค่าทำขวัญ ตกลงกันในเรื่องค่าทำขวัญถ้าตกลงกันไม่ได้ให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์กำหนดค่าทำขวัญ ถ้าผู้มีสิทธิได้รับค่าทำขวัญยังไม่ยินยอมตกลงในจำนวนเงินค่าทำขวัญที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวกำหนด ก็มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกเงินส่วนที่ตนเห็นว่าควรจะได้รับต่อศาล และข้อ 25 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่คิดว่าจะเวนคืนเพื่อสร้างหรือขยายทางพิเศษ และรัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดทางสายนั้นเป็นทางที่มีความจำเป็นต้องสร้างหรือขยายโดยเร่งด่วนแล้วให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือ ก.พ. มีอำนาจครอบครอง ใช้รื้อถอนอสังหาริมทรัพย์ สร้างหรือขยายทางพิเศษนั้นได้ โดยให้ชดใช้ค่าเสียหายในส่วนที่ได้เข้าครอบครองหรือรื้อถอนอสังหาริมทรัพย์แก่เจ้าของ ผู้ครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิอื่นในอสังหาริมทรัพย์นั้น และให้นำข้อ 24 มาใช้บังคับโดยอนุโลมและให้ออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ภายในอายุความของพระราชกฤษฎีกา” เห็นว่าที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่เขตพญาไท เขตปทุมวัน ฯลฯ โดยอาศัยประกาศของคณะปฏิวัติข้อ 25 แม้ในข้อ 25 จะบัญญัติว่า ให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของก็ตามแต่ก็ให้นำข้อ 24 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ดังนั้น คำว่า ชดใช้ค่าเสียหาย ในข้อ 25 ก็คือค่าทำขวัญตามข้อ 24 นั่นเอง เห็นว่าการที่รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินของราษฎรมาให้จำเลยสร้างทางพิเศษนั้น เป็นการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์แก่สาธารณชนทั่วไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการจราจรเป็นพิเศษ การที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องจ่ายค่าทำขวัญหรือชดใช้ค่าเสียหายให้กับราษฎรรวมทั้งโจทก์ที่ถูกเวนคืนที่ดินนั้น ไม่มีลักษณะเป็นการซื้อขายที่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนที่ดินจะเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายเสมือนหนึ่งว่าโจทก์เสนอขายที่ดินต่อเอกชนด้วยกัน เงินค่าทำขวัญหรือเงินชดใช้ค่าเสียหายมิใช่เงินทดแทนความเสียหายตามความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง แต่เป็นเงินชดเชยที่กำหนดให้โดยคำนึงถึงความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของรัฐ ในลักษณะที่เป็นธรรมและเหมาะสมด้วยกันทั้งสองฝ่าย ที่จำเลยกำหนดเงินชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์โดยอาศัยบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาด เพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในท้องที่ตามเอกสารหมาย ล.1 เปรียบเทียบกับประกาศราคาปานกลางของที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ตามเอกสารหมาย ล.3 โดยถือเอาราคาที่สูงกว่าเป็นเกณฑ์ในการชดใช้ค่าเสียหาย คือ สำหรับที่ดินของโจทก์ที่ติดถนนเพลินจิตลึกจากถนนเข้าไปไม่เกิน40 เมตร คือตามราคาตามบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในท้องที่ ส่วนที่ดินของโจทก์นอกจากนี้จำเลยกำหนดให้ตามประกาศราคาปานกลางของที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่จึงนับว่าจำเลยได้ใช้หลักเกณฑ์ในลักษณะที่เป็นธรรมและเหมาะสมด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนประกาศให้ภายหลังบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในท้องที่ตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นเวลาถึง 2 ปี และภายหลังประกาศราคาปานกลางของที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ตามเอกสารหมาย ล.3 ถึง 1 ปี เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครพยานจำเลยเบิกความว่า บริเวณที่ดินของโจทก์มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ต้องกำหนดราคาขึ้นใหม่ทุก 3 ปี จึงสมควรกำหนดราคาที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยคือที่ติดถนนเพลินจิตลึกเข้าไปไม่เกิน 40 เมตร เพิ่มให้ 2 ปี ปีละ 25 เปอร์เซ็นต์ส่วนที่ดินนอกนั้นเพิ่มให้ 1 ปี 15 เปอร์เซ็นต์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพิ่มขึ้นจากที่จำเลยกำหนดอีก 1,487,187.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์