คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์มิได้ซ่อมแมคปั๊มตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและกลับบ้านไปเพราะโจทก์เชื่อว่ามอเตอร์เสีย มิใช่แผงอีเล็กทรอนิกซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์เสีย และเวลาที่กลับก็ล่วงเลยเวลาทำงานตามปกติแล้ว รุ่งขึ้นเมื่อโจทก์ทราบว่าแมคปั๊มไม่ทำงานเพราะแผงอีเล็กทรอนิกเสียก็จัดการเปลี่ยนแผงใหม่จนแมคปั๊มทำงานเป็นปกติ ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรง
จำเลยระบุเหตุเลิกจ้างโจทก์ในคำสั่งเลิกจ้างว่า โจทก์กระทำความผิดฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยอย่างร้ายแรง และตามระเบียบของจำเลยเพียงแต่ระบุว่า การละเลยเพิกเฉยต่อคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอันชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่สองครั้งขึ้นไป เป็นความผิดร้ายแรงเท่านั้น หาได้กำหนดว่าการกระทำผิดที่เคยถูกตักเตือนมาแล้วเป็นความผิดร้ายแรงไม่ คดีจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเคยเตือนโจทก์เป็นหนังสือหรือไม่ เพราะเป็นเพียงข้อที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ มิใช่เป็นเหตุที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้ออ้างเลิกจ้างโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จำเลยได้ออกคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ในคำสั่งกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดฝ่าฝืนกฎข้อบังคับระเบียบของจำเลยอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย ทำให้โจทก์ไม่ได้รับความเป็นธรรมและเสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์กระทำผิดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือระเบียบข้อบังคับการทำงานอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย และละทิ้งหน้าที่โจทก์ทำงานอยู่ในแผนกซ่อมบำรุงฝ่ายเคมีอุตสาหกรรม มีหน้าที่บำรุงรักษาเครื่องจักรที่ใช้ในฝ่ายเคมีอุตสาหกรรม เมื่อเครื่องจักรเสียผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้โจทก์ซ่อมแซม โจทก์ก็ประวิงเวลาให้ล่าช้า ไม่ยอมปฏิบัติงานและละทิ้งหน้าที่ที่อยู่ตลอดมา และจำเลยได้ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว นอกจากนี้ก่อนเลิกจ้าง แมคปั๊มซึ่งเป็นอุปกรณ์ควบคุมการส่งวัตถุดิบเข้าเครื่องผลิตเสีย ๑ เครื่องในจำนวน ๒ เครื่อง ทำให้เครื่องที่เหลือต้องทำงานเป็น ๒ เท่า ซึ่งจำเป็นต้องรีบซ่อม เพราะถ้าหากเครื่องที่ทำงานอยู่เกิดขัดข้องและหยุดลง โรงงานจะต้องปิดและเกิดความเสียหายเป็นเงินจำนวนนับล้านบาทผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้โจทก์ตรวจซ่อม โจทก์ใช้เวลาตรวจไม่ถึง ๑ ชั่วโมงก็รายงานว่าเหตุที่เสียเกิดจากไฟฟ้า มิใช่หน้าที่ของโจทก์ และโจทก์กลับบ้าน ช่างแผนกไฟฟ้าตรวจปรากฏแน่ชัดว่าเกิดจากความผิดพลาดของเครื่องกล รุ่งขึ้นเช้าโจทก์ทราบว่าทางแผนกไฟฟ้าได้ทำการตรวจทดลองแล้ว จึงขึ้นไปที่แมคปั๊ม และเปลี่ยนแผงอิเล็กทรอนิก ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ นาทีแม็คปั๊มก็ใช้การได้ จากการสอบสวนปรากฏว่าความเสียหายเช่นนี้โจทก์สามารถแก้ไขได้ทันทีแต่หาได้ทำเช่นนั้นไม่ กลับฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างร้ายแรงและละทิ้งหน้าที่อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างร้ายแรงและจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงชอบที่จะเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าการที่โจทก์มิได้ซ่อมแมคปั๊มตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและกลับบ้านไปนั้น เป็นเพาะโจทก์เชื่อว่าแม็คปั๊มไม่ทำงานเพราะมอเตอร์เสีย มิใช่เป็นเพราะแผงอิเล็กทรอนิกซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์เสีย และเวลาที่กลับก็ล่วงเลยเวลาทำงานตามปกติแล้ว รุ่งขึ้นเมื่อโจทก์ทราบว่าแมคปั๊มไม่ทำงานเพราะแผงอิเล็กทรอนิคเสีย ก็ได้จัดการเปลี่ยนแผงอิเล็กทรอนิกใหม่จนแมคปั๊มทำงานเป็นปกติพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎข้อบังคับระเบียบการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรง
ตามคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ จำเลยระบุเหตุแห่งการเลิกจ้างเพราะโจทก์กระทำความผิดฝ่าฝืนกฎข้อบังคับระเบียบของจำเลยอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับการทำงานของจำเลยข้อ ๑๒.๒.๖ ซึ่งว่าด้วยโทษทางวินัยมีข้อความว่า “ลงโทษด้วยการไล่ออกสำหรับความผิดร้ายแรงดังต่อไปนี้
๑๒.๒.๖.๔ ละเลยหรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของบริษัทหรือของผู้บังคับบัญชาอันชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่สองครั้งขึ้นไป หรือละเมิดโดยจงใจซึ่งคำสั่งดังกล่าว”ซึ่งการกระทำตามข้อบังคับดังกล่าวกำหนดเป็นความผิดร้ายแรง เป็นเรื่องละเลยหรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของจำเลยหรือผู้บังคับบัญชาอันชอบด้วยกฎหมายสองครั้งขึ้นไป หาได้กำหนดว่าความผิดที่เคยถูกตักเตือนมาแล้วเป็นความผิดร้ายแรงไม่คดีนี้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานหรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างร้ายแรงหรือไม่ ฉะนั้นเมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วว่าการฝ่าฝืนละเลยหรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของโจทก์มิใช่เป็นความผิดร้ายแรงดังที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการทำงานของจำเลย กรณีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยได้เคยตักเตือนโจทก์หรือไม่ เพราะจำเลยเพียงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ แต่มิใช่เป็นเหตุที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้ออ้างเลิกจ้างโจทก์
พิพากษายืน

Share