คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1334/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์นำคำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งมาฟ้องเป็นคดีอาญา หาใช่เป็นคดีเกี่ยวพันกับคดีแพ่งดังกล่าวไม่ แต่เป็นเพียงนำคำเบิกความดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานที่จะอ้างอิงในคดีอาญาเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรประจำการ และจำเลยที่ 2 เป็นนายทหารประทวนประจำการ จำเลยทั้งสองจึงเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตาม พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 16(1) และ (3) และไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 14 ดังนี้คดีอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 13
การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รับคดีไว้พิจารณาหมายความว่าให้รับคดีนี้ไว้ไต่สวนมูลฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 162(1) ยังถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นประทับฟ้อง เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้น จะถือว่าศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาหาได้ไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 19150/2529 หมายเลขแดงที่ 1935/2530 ของศาลแพ่ง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 83 โดยในการยื่นฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องด้วยว่าคดีนี้เป็นคดีอาญาที่มีมูลความผิดสืบเนื่องและเกี่ยวพันกับคดีแพ่งดังกล่าวที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือนขอให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องว่า ‘พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นคดีเกี่ยวพันกับคดีแพ่งที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร และต้องดำเนินคดีในศาลพลเรือน ให้รับไว้พิจารณา’ต่อมาศาลชั้นต้นได้ไต่สวนมูลฟ้องโดยสืบพยานโจทก์ไปบางปากแล้ว เห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร เพราะจำเลยทั้งสองเป็นทหารประจำการจึงมีคำสั่งให้คืนคำฟ้องแก่โจทก์ จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งเนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ยอมทำสัญญาค้ำประกันผูกพันตนต่อโจทก์ในการที่โจทก์เป็นนายประกันทำสัญญาประกันตัวนายประพันธ์ โตพานิช ผู้ต้องหาต่อศาลอาญาธนบุรีแล้วนายประพันธ์ โตพานิช ได้หลบหนีหายไป ศาลอาญาธนบุรีได้มีคำสั่งปรับโจทก์ในฐานะนายประกัน โจทก์ได้ชำระค่าปรับไปแล้วแต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระจำนวนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน โจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่ง จำเลยทั้งสองได้เบิกความเท็จในคดีดังกล่าว คือ คดีหมายเลขดำที่19150/2529 หมายเลขแดงที่ 1935/2530 ของศาลแพ่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาในชั้นนี้มีว่า คดีนี้เป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารเพราะเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 19150/2529 หมายเลขแดงที่ 1935/2530 ของศาลแพ่ง ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลพลเรือนตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498มาตรา 14 (2) เป็นเหตุให้ต้องดำเนินคดีนี้ต่อศาลพลเรือนตามมาตรา 15 วรรคแรก หรือไม่ และการที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องให้รับคดีไว้พิจารณามีผลเป็นการรับฟ้องแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 19150/2529 หมายเลขแดงที่ 1935/2530ของศาลแพ่ง การที่โจทก์นำคำเบิกความของจำเลยทั้งสองมาฟ้องคดีนี้ หาใช่คดีเกี่ยวพันกับคดีแพ่งดังกล่าวไม่ แต่เป็นเพียงนำคำเบิกความดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานที่จะอ้างอิงในคดีนี้เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรประจำการและจำเลยที่ 2 เป็นนายทหารประทวนประจำการ จำเลยทั้งสองจึงเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามมาตรา 16 (1) และ (3) ตามลำดับทั้งเป็นคดีที่ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 14 คดีจึงอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 13
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นได้สั่งในคำร้องให้รับฟ้องไว้พิจารณาแสดงว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจยอมรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14 (4) แล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 162 (1) การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องให้รับคดีไว้พิจารณานั้น ย่อมมีความหมายเพียงว่าให้รับคดีนี้ไว้ทำการไต่สวนมูลฟ้อง เพราะมีความเห็นว่าเป็นคดีที่ขึ้นศาลพลเรือนเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้ประทับฟ้องไว้แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้น จะถือว่าศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาหาได้ไม่…’
พิพากษายืน.

Share