คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 831/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้มือซ้ายกระชากคอเสื้อผู้เสียหาย แล้วใช้มือขวากระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายขาด และเอาสร้อยคอกับพระเลี่ยมทองคำซึ่งแขวนอยู่ไป เป็นการกระทำต่อเนื่องกันในทันใดเพื่อประสงค์จะเอาสร้อยคอของผู้เสียหายเป็นสำคัญ และเป็นเพียงวิธีการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเท่านั้น มิใช่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายอันจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยใช้กิริยาฉกฉวยเอาสร้อยคอและพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบความผิดฐานนี้มา และคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คงลงโทษจำเลยได้เฉพาะฐานลักทรัพย์เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ได้พาอาวุธสิ่วติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันชิงเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น พร้อมด้วยพระเลี่ยมทองคำจำนวน 1 องค์ ของเด็กชายสมภพ เชยกีวงศ์ ผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 83, 371, 91 ริบสิ่วของกลางกับให้ร่วมกันคืนพระเลี่ยมทองคำ หรือใช้ราคา 1,050 บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสองจำเลยทั้งสองอายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ 1 ใน 3 แล้ว ให้ลงโทษจำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน คำรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 4 ปี 5 เดือน 10 วัน ให้จำเลยทั้งสองคืนพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ หรือใช้ราคาทรัพย์ดังกล่าว 1,050 บาทแก่ผู้เสียหาย คำขออื่นให้ยก จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7)จำเลยที่ 2 ขณะกระทำผิดอายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง แล้ววางโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือนจำเลยที่ 1 ขณะกระทำผิดอายุไม่ถึง 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้1 ใน 3 แล้ววางโทษจำคุก 2 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา1 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ใช้มือซ้ายกระชากคอเสื้อผู้เสียหายแล้วใช้มือขวากระชากสร้อยคอของผู้เสียหายขาดออกจากกัน และเอาสร้อยคอทองคำดังกล่าวซึ่งหนักเพียง 1 สลึง กับมีพระเลี่ยมทองคำแขวนอยู่ด้วย 1 องค์ไป เห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 กระชากคอเสื้อและกระชากสร้อยคอของผู้เสียหายเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน ในทันใดเพื่อประสงค์จะเอาสร้อยคอของผู้เสียหายเป็นสำคัญ และเป็นเพียงวิธีการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเท่านั้น หาใช่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายตามที่โจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ใช้กิริยาฉกฉวยเอาสายสร้อยคอทองคำ และพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปซึ่งหน้า อันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ หากแต่โจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบความผิดฐานนี้มาและคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์คดีคงลงโทษจำเลยทั้งสองได้เฉพาะฐานลักทรัพย์ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาเท่านั้น
พิพากษายืน”

Share