แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดตามเช็คพิพาท โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 นำข้อเท็จจริงตามบันทึกที่ระบุว่าในกรณีที่เช็คถึงกำหนดชำระแล้วไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขอยอมรับผิดชอบค่าเสียหายต่อผู้ทรงเช็คในฐานะส่วนตัวมาพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดตามเช็คพิพาทกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 142
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,609,062 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 1,500,000 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทให้โจทก์จริง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นกรรมการมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะส่วนตัว โจทก์ไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคารโดยเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิยึดหน่วงที่จะไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็ค สัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคารโจทก์จำเลยที่ 1 ยกเลิกแล้ว เช็คพิพาทไม่ใช่เช็คที่จำเลยที่ 1 ออกชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,609,062 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 1,500,000 บาท นับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ค่าธรรมเนียมในส่วนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,609,062 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 1,500,000 บาท นับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดตามเช็คพิพาท และข้อเท็จจริงก็รับฟังยุติว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คของจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายในนามจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์เองก็นำสืบว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายชำระหนี้ค่าก่อสร้างทาวน์เฮาส์ตามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 กรณีจึงถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทในฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่จำต้องรับผิดตามเช็คเป็นส่วนตัวต่อโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 นำข้อเท็จจริงตามบันทึกการมอบเช็คที่ระบุว่าในกรณีที่เช็คถึงกำหนดชำระแล้วไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขอยอมรับผิดชอบค่าเสียหายต่อผู้ทรงเช็คในฐานะส่วนตัวมาพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดตามเช็คพิพาทกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5.