แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่า จำเลยขอปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่า การฟ้องคดีของพันตำรวจเอก ร. เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์โดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องผูกพันกับคำพิพากษาท้ายฟ้องโจทก์ เมื่อการฟ้องของโจทก์ไม่สุจริตโจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยไม่ ดังนี้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยได้กล่าวอ้างมาเลยว่า ที่พันตำรวจเอก ร. ฟ้องโจทก์และจำเลยกับพวกนั้น พันตำรวจเอก ร. ได้ร่วมกับโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันนำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อให้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้รับผิดเป็นคดีนี้ซึ่งเป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลย เมื่อคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย การที่โจทก์และจำเลยถูกพันตำรวจเอก ร. เป็นโจทก์ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องจากการที่จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้พันตำรวจเอก ร. เสียหาย และคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยถึงที่สุดฟังว่าเหตุเกิดจากการปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยซึ่งได้กระทำไปในฐานะผู้แทนโจทก์และพิพากษาให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอก ร. คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง คดีนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อพันตำรวจเอก ร. ในขณะจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล เมื่อโจทก์ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาคดีก่อนแก่พันตำรวจเอก ร. แล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 76
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยรับราชการในกองทะเบียนซึ่งเป็นส่วนราชการของโจทก์ในตำแหน่งรองสารวัตร แผนกทะเบียนรถยนต์ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ พันตำรวจเอกรังสิต ญาโนทัย ได้ยื่นคำแจ้งความขอโอนและรับโอนรถยนต์ยี่ห้อเบ็นซ์รุ่น ๓๐๐ ดี หมายเลขทะเบียน๘ ก – ๘๙๓๙ กรุงเทพมหานคร ต่อนายทะเบียนของโจทก์ และจำเลยได้ทำการตรวจสอบรถยนต์ หลักฐานการขอโอนและรับโอนรถยนต์คันดังกล่าวโดยจำเลยไม่ตรวจต้นทะเบียนที่เก็บรักษาที่แผนกทะเบียนรถยนต์กับคู่มือการจดทะเบียนให้ดีว่า รายการในเอกสารดังกล่าวตรงกันหรือไม่ และลายมือชื่อของนายทะเบียนในเอกสารดังกล่าวตรงกันหรือไม่ เป็นเหตุให้จำเลยไม่รู้ว่ามีการปลอมใบคู่มือการจดทะเบียน จึงได้อนุญาตให้โอนและรับโอนรถยนต์คันดังกล่าวมาเป็นของพันตำรวจเอกรังสิต ต่อมาเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรตรวจสอบพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถยนต์คันที่นำเข้าประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ร้อยตำรวจโทวิฑูรย์พิทักษ์กรราษฎร์ เจ้าพนักงานตำรวจแผนกทะเบียนรถยนต์ กองกำกับการ ๓ กองทะเบียน ได้แจ้งให้พันตำรวจเอกรังสิตทราบว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถที่นำเข้าประเทศไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้พันตำรวจเอกรังสิตไม่สามารถโอนรถยนต์คันดังกล่าวต่อไปได้ และไม่สามารถใช้รถยนต์คันดังกล่าวได้ตามปกติต่อมาเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ พันตำรวจเอกรังสิตได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ ๑ พลตำรวจตรีทวี พงษ์ประสาท เป็นจำเลยที่ ๒ พันตำรวจเอกประสาท พิบูลย์วงศ์ เป็นจำเลยที่ ๓ จำเลยนี้เป็นจำเลยที่ ๔ และสิบตำรวจโทสมเกียรติ นิลพัฒน์ เป็นจำเลยที่ ๕ ต่อศาลชั้นต้น ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๘๑๑,๖๒๕ บาท ตามสำเนาคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๔๒๘/๒๕๒๗เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ซึ่งต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำเลยและโจทก์ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่พันตำรวจเอกรังสิตจำนวน ๗๐๐,๑๐๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จยกฟ้องจำเลยอื่น ต่อมาวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ โจทก์ได้นำเงินไปชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาของศาลฎีกาจำนวน ๑,๐๖๕,๗๓๐.๐๔ บาทให้แก่พันตำรวจเอกรังสิตแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนเงินดังกล่าวจากจำเลยได้ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน ๑,๐๖๕,๗๓๐.๐๔ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๔ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้อง การตรวจสอบหลักฐานการขอโอนรถยนต์คันดังกล่าวและการลงลายมือชื่อรับรอง ตรายางลายมือชื่อของนายทะเบียน จำเลยได้กระทำไปตามขั้นตอน และเห็นว่าเป็นลายมือชื่อของผู้มีอำนาจดังกล่าวและถูกต้องตรงตามความเป็นจริง จึงรับรองไป จำเลยไม่ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อ การฟ้องคดีของพันตำรวจเอกรังสิต ญาโนทัย เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์โดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องผูกพันตามคำพิพากษาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ และจำเลยไม่ขอรับรองว่าเอกสารท้ายฟ้องจะสมบูรณ์ตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ การฟ้องคดีของโจทก์ไม่สุจริตโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลย เมื่อพิจารณาตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยในขณะเกิดเหตุนั้น จำเลยไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเป็นผู้จัดการหรือเป็นผู้แทนของโจทก์แต่อย่างใด จำเลยหาต้องผูกพันที่จะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณา คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับกันว่า พลตำรวจเอกสวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจ ได้มอบอำนาจให้พลตำรวจตรีภักดี เศรษฐบุตรเป็นผู้ฟ้องคดีนี้แทน พันตำรวจเอกรังสิต ญาโนทัย ได้ฟ้องโจทก์และจำเลยกับบุคคลอื่นให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอกรังสิตเพื่อละเมิดตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๔๒๘/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น ปรากฏตามคำฟ้องเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒คดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ ๓๙๔๐/๒๕๓๓ ให้โจทก์และจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอกรังสิตจำนวน ๗๐๐,๑๐๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑,๐๖๕,๗๓๐.๐๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๔ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๔๐,๕๑๓.๑๕ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า คำให้การจำเลยที่ว่า จำเลยไม่ต้องผูกพันตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๙๔๐/๒๕๓๓ เพราะพันตำรวจเอกรังสิต ญาโนทัย สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ในการฟ้องคดีดังกล่าว และโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยไม่สุจริต เป็นคำให้การที่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๗ หรือไม่ ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า “ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น” จำเลยให้การในข้อ ๑.๓ ว่า จำเลยขอปฏิเสธฟ้องข้อ ๓ ของโจทก์ว่า การฟ้องคดีของพันตำรวจเอกรังสิต ญาโนทัย เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์โดยตรงจำเลยจึงเห็นว่าไม่ต้องผูกพันกับคำพิพากษาท้ายฟ้องโจทก์แต่ประการใด และได้ให้การในข้อ ๑.๔ ว่า เมื่อการฟ้องของโจทก์ไม่สุจริตดังที่กราบเรียนมาในคำให้การข้อ ๑.๓ โจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยไม่เห็นได้ว่า จากข้อความตามที่จำเลยได้ให้การมาดังกล่าวข้างต้นทั้ง ๒ ข้อ ไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยได้กล่าวอ้างมาเลยว่า ที่พันตำรวจเอกรังสิตฟ้องโจทก์และจำเลยกับพวกนั้น พันตำรวจเอกรังสิตได้ร่วมกับโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันนำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อให้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้รับผิดเป็นคดีนี้ซึ่งเป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลย เมื่อคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงชอบแล้ว
คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการที่สองว่าจำเลยมีหน้าที่เพียงตรวจสอบเอกสารเท่านั้น ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการทำนิติกรรมหรือจดทะเบียนรถยนต์แทนโจทก์ จำเลยจึงไม่ใช่ตัวแทนของโจทก์ ไม่ต้องผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ เห็นว่า การที่โจทก์และจำเลยถูกพันตำรวจเอกรังสิตเป็นโจทก์ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องจากการที่จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้พันตำรวจเอกรังสิตเสียหายและคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๙๔๐/๒๕๓๓ ซึ่งถึงที่สุดฟังว่าเหตุเกิดจากการปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยซึ่งได้กระทำไปในฐานะผู้แทนโจทก์ และพิพากษาให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอกรังสิต คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง คดีนี้จึงฟังได้ว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อพันตำรวจเอกรังสิตในขณะจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล เมื่อโจทก์ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาคดีก่อนแก่พันตำรวจเอกรังสิตแล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๖
พิพากษายืน.