คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1380/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่าโจทก์เช่าซื้อที่ดินและห้องแถวจากจำเลยที่1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว ต่อมาโจทก์ทราบว่าระหว่างที่โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้ออยู่นั้น จำเลยที่ 1ได้ขายฝากที่ดินและห้องแถวดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองรู้ดีว่าที่ดินและห้องแถวนั้นโจทก์ได้เช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 อยู่ก่อนแล้ว นิติกรรมการขายฝากที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำจึงเป็นนิติกรรมอันเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมการขายฝากไม่ผูกพันโจทก์ ให้เพิกถอนทำลายนิติกรรมการขายฝากเสียและให้จำเลยจัดการโอนที่ดินและห้องแถวให้โจทก์. ดังนี้ เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำนิติกรรมขายฝากโดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องได้
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1162-1163-1164/2497)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ โจทก์เช่าซื้อที่ดินบางส่วนในโฉนดเลขที่ ๕๖๙๔ พร้อมห้องแถวจำนวน ๓ ห้องจากจำเลยที่ ๑ โจทก์ชำระราคาเช่าซื้อในวันทำสัญญาจำนวนหนึ่ง ที่เหลือให้ผ่อนชำระราคาจนครบถ้วนเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๔ เมื่อประมาณ ๒ – ๓ เดือนก่อนฟ้อง โจทก์ทราบว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ จำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ กู้เงินและจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินพร้อมห้องแถว ๖ ห้องตามโฉนดเลขที่ ๕๖๙๔ ซึ่งรวมทั้งที่ดินและห้องแถวที่จำเลยที่ ๑ ได้ให้โจทก์เช่าซื้อไปแล้วแก่จำเลยที่ ๒ เพื่อเป็นหลักประกันหนี้กู้ยืมดังกล่าว โดยจำเลยทั้งสองไม่ประสงค์ให้ผูกพันกันตามสัญญาขายฝากเลย แต่มุ่งประสงค์จะให้ผูกพันกันในเรื่องกู้ยืมเท่านั้น และตกลงกันว่า หากจำเลยที่ ๑ นำต้นเงินและดอกเบี้ยมาชำระเมื่อใด จำเลยที่ ๒ จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมห้องแถวคืนแก่จำเลยที่ ๑ ทันที ต่อมาปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมรับชำระหนี้เงินกู้ยืมที่จำเลยที่ ๑ นำไปชำระและไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินคืนแก่จำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยทั้งสองที่ทำการจดทะเบียนขายฝากแก่กันทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าที่ดินตามโฉนดดังกล่าวพร้อมห้องแถว ๓ ห้องโจทก์ได้เช่าซื้อจากจำเลยที่ ๑ อยู่ก่อนแล้ว จึงเป็นนิติกรรมอันเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของหนี้เสียเปรียบ ทำให้โจทก์เสียหาย ไม่อาจไปจดทะเบียนโอนสิทธิแก่โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาว่า นิติกรรมการขายฝากที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์เช่าซื้อพร้อมห้องแถว ๓ ห้องซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวไม่มีผลบังคับตามกฎหมายและไม่ผูกพันโจทก์ให้เพิกถอนทำลายนิติกรรมขายฝากดังกล่าวเสีย แล้วให้จำเลยดำเนินการแบ่งแยกจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวพร้อมห้องแถวจำนวน ๓ ห้องดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นระยะเวลาภายหลังจากทรัพย์พิพาทหลุดเป็นของจำเลยที่ ๒ ผู้รับซื้อฝากแล้ว หากโจทก์เสียหายอย่างไรก็ชอบที่จะว่ากล่าวแก่จำเลยที่ ๑ ต่างหาก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนขายฝาก พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยทั้งสอง อันเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินและจำเลยที่ ๒ รู้ว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ ถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างโจทก์ฟ้อง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์กล่าวว่าโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โดยอ้างว่าเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น ศาลฎีกาตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่านิติกรรมขายฝากรายนี้เป็นนิติกรรมอำพราง โจทก์เพียงแต่กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำนิติกรรมขายฝากรายนี้โดยรู้อยู้ว่าเป็นทางให้โจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเท่านั้น ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๖๒ – ๑๑๖๓ – ๑๑๖๔/๒๔๙๗ ที่ศาลอุทธรณ์ให้รับฟ้องไว้พิจารณาชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share