คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2113/2492

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

โจทก์เคยขายที่พิพาทให้ผู้ตายแปลงเดียว ผู้ตายได้ทำหนังสือให้โจทก์ไว้ว่าถ้าผู้ตาย ตายก่อนโจทก์ ที่ที่โจทก์ขายให้นี้จะคืนยกให้แก่โจทก์ แต่ถ้าผู้ตายมีชีวิตอยู่ จะถือกรรมสิทธิ์ต่อไปโดยผู้ตายเขียนหนังสือนั้นเองทั้งฉบับและลงชื่อเป็นผู้เขียนกับมีคนอื่นลงชื่อเป็นพยานสามคน ดังนี้ ถือว่าหนังสือดังกล่าว มีลักษณะเป็นพินัยกรรม เมื่อผู้ตายตายก่อนโจทก์ ที่ที่พิพาทย่อมตกเป็นของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งพนักงานที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินรายพิพาท และห้ามจำเลย โดยอ้างว่า ถ. ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกที่รายนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่า หนังสือที่ว่าไม่ใช่พินัยกรรม ได้ความว่าโจทก์ได้ขายที่บ้านโฉนดที่ 5619 ให้แก่ ถ.ครึ่งหนึ่ง นอกจากที่ดินแปลงนี้แล้วโจทก์ไม่เคยขายที่ดินแปลงอื่นให้ ถ. เลย ถ. ได้ทำหนังสือฉบับหนึ่ง มีข้อความว่า ถ้า ถ. ตายก่อนที่ที่โจทก์ขายให้นี้ จะคืนยกให้โจทก์เป็นกรรมสิทธิ์ ถ้า ถ.มีชีวิตอยู่ ถ. จะถือเป็นกรรมสิทธิ์ต่อไป หนังสือนี้ ถ. เขียนเองทั้งฉบับและลงชื่อเป็นผู้เขียน กับมีผู้อื่นลงชื่อเป็นพยาน 3 คนต่อมา ถ. ตายก่อนโจทก์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นต้องกันว่า หนังสือของ ถ.ผู้ตายดังกล่าวมีลักษณะเป็นพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646, 1647, 536 เมื่อ ถ. ตายก่อนโจทก์ ๆ ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท พิพากษาห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้อยคำที่ว่า “จะคืนยกให้” เมื่ออ่านรวมกับข้อความอื่น ๆ คงแปลได้ว่า ถ. ตั้งใจยกที่ดินรายนี้ให้แก่โจทก์เมื่อ ถ. ตายก่อนโจทก์ จึงฟังเป็นพินัยกรรมของ ถ. ได้ ทั้งที่ดินที่โจทก์ขายให้ ถ. ก็คงมีแปลงพิพาทแปลงเดียวเท่านั้น จะว่าเป็นทรัพย์สินที่ระบุไว้ไม่ชัดแจ้งจนไม่อาจที่จะทราบแน่นอนนั้นหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share