แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยเป็นเจ้าของเรือใบรับจ้างบันทุกข้าวสารของโจทก์ไปส่งจังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วข้าวสารไม่ถึงจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้เป็น 2 ประการ ประการแรกเรือจำเลยไปไม่ได้ถึง 2 ครั้ง จำเลยจึงได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว ประการที่ 2 โจทก์ได้ไปตกลงกับคนเรือของจำเลยให้เดินทางไปอีกเป็นครั้งที่ 3 ก่อนตกลงกับจำเลย และไม่แจ้งให้จำเลยทราบ จึงเกิดการเสียหายขึ้น เนื่องจากคนเรือทุจจริต โดยจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้อง จำเลยไม่ได้ต่อสู้เลยว่าเรือถูกปล้นกลางทางอันเป็นเหตุสุดวิสัยทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ ดังที่จำเลยยกขึ้นกล่าวในฟ้องฎีกา ถ้าจำเลยประสงค์จะต่อสู้เช่นนี้ จำเลยชอบที่จะกล่าวให้ชัดแจ้งตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 177 วรรค 2 เมื่อข้อความเหล่านี้ไม่เป็นประเด็นในคดีในศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยก็ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกแม้ศาลอุทธรณ์จะรับพิจารณาในประเด็นข้อปล้นให้ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นประเด็นในคดีเลย เช่นนี้ ก็ไม่ทำให้กลายเป็นประเด็นขึ้นได้
ในคดีรับขนของ เมื่อของไม่ถึงปลายทางและสูนย์หายไปแล้ว ค่าระวางเรือก็เป็นค่าเสียหาย ซึ่งผู้ส่งจะได้รับ ผู้รับขนส่งจะต้องรับผิดชอบในเงินจำนวนนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของเรือใบ ได้ตกลงรับจ้างบันทุกข้าวสารของโจทก์ไปส่งที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยได้รับเงินค่าระวางล่วงหน้าไปบ้างแล้ว ต่อมาปรากฎว่าทางจังหวัดนครศรีธรรมราชไม่ได้รับข้าวสาร จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนค่าระวางและใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การรับว่าเป็นเจ้าของเรือใบจริง เงินที่จุ๊นจู้รับไป จำเลยไม่ได้รู้เห็นและเกี่ยวข้องด้วย จำเลยไม่ใช่ผู้รับจ้างบันทุกข้าวสารไต้ก๋งเรือไปทำการรับจ้าง แต่จะเป็นโจทก์หรือใคร ไม่ทราบ เมื่อได้บันทุกลงเรือแล้ว จำเลยจึงได้ไปทำสัญญาตกลงกับผู้จ้างว่า ถ้าไปไม่ได้โดยเหตุสุดวิสัย หรือเกี่ยวด้วยภัยสงคราม ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ต้องรับผิดชอบ จำเลยทราบเมื่อได้มีการบันทุกข้าวไปแล้ว เรือได้ออกเดินทางแต่ไปไม่ได้ถึง ๒ ครั้ง เนื่องจากขณะนั้นสงครามเข้าขั้นรุนแรง จำเลยจึงบอกเลิกสัญญารับขนกับโจทก์ แต่โจทก์กลับไปตกลงกับคนเรือของจำเลยให้ไปอีกเป็นครั้งที่ ๓ โดยไม่ได้ตกลงกับจำเลย และไม่แจ้งให้จำเลยทราบ การเสียหายเกิดขึ้นเนื่องจากคนเรือที่ได้รับมอบให้ไปทำงานแล้วทุจจริต จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหาย ราคาข้าวที่โจทก์คิดสูงเกินความจริง ค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายที่โจทก์เรียกไม่เกี่ยวกับจำเลย และเป็นการเกินสมควร การว่าจ้างบันทุกนี้ไม่มีกำหนดเวลาว่า จะให้ไปถึงเมื่อใด สุดแล้วแต่คลื่นลมและเวลาอันสมคร จำเลยยังมีเวลาและโอกาศจะไปได้อีก ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยต้องรับผิดชอบ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า จำเลยนำสืบได้ว่าเรือของจำเลยถูกปล้นอันเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบ โจทก์ผู้ส่งเป็นฝ่ายผิด โดยโจทก์ยัดเยียดเงินให้คนเรือของจำเลยให้หนีเรือออกไป จำเลยยังไม่ควรต้องคืนค่าระวางล่างหน้า เพราะข้าวของโจทก์ศูนย์หายไประหว่างทาง จำเลยต้องเสียหายกับใช้จ่ายไปแล้ว
ศาลฎีกวินิจฉัยว่า ตามคำให้การของจำเลยแยกต่อสู้เป็น ๒ ประการ ประการแรกเรือจำเลยไปไม่ได้ถึง ๒ ครั้ง จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว แต่ประเด็นข้อนี้ไม่มีมาสู่ศาลฎีกา ประการที่ ๒ โจทก์ไปตกลงกับคนเรือของจำเลยให้เดินทางไปอีกเป็นครั้งที่สาม ก่อนตกลงกับจำเลยและไม่แจ้งให้จำเลยทราบ จึงเกิดการเสียหายขึ้น เนื่องจากคนเรือซึ่งได้รับมอบหมายไปทำงานแล้วทุจจริต จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้เลยว่าเรือถูกปล้นกลางทาง อันเป็นเหตุสุดวิสัย ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ ดังที่จำเลยยกขึ้นกล่าวในฟ้องฎีกา ถ้าจำเลยประสงค์จะต่อสู้เช่นนี้ จำเลยชอบที่จะกล่าวโดยชัดแจ้งตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๗๗ วรรค ๒ เมื่อข้อเหล่านี้ไม่เป็นประเด็นในคดีในศาลชั้นต้นแล้ว จำเลย
จะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๔๙ วรรคแรก แม้ศาลอุทธรณ์จะรับพิจารณาในประเด็นข้อปล้นทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นประเด็นในคดีเลย ก็ไม่ทำให้กลายเป็นประเด็นในคดีได้
ส่วนค่าระวางเรือนี้ เมื่อจำเลยต้องรับผิดในเรื่องข้าวสารไม่ถึงปลายทางและศูนย์หายไป ค่าระวางเรือก็เป็นค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับ จำเลยจะได้รับผลจากค่าระวางนี้เพียงใด หรือไม่ เป็นเรื่องของจำเลย เมื่อโจทก์เสียหาย จำเลยผู้เป็นคู่สัญญา ก็ต้องรับผิดชอบ
พิพากษายืน