แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 เป็นบริษัทจำกัด ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ภายในขอบวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง เมื่อบริษัทจำเลยที่ 3 มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้า และเพื่อทำการกู้ยืมเงินค้ำประกันและรับรองทั้งบุคคลหรือนิติบุคคลเพื่อกิจการค้าของบริษัท ดังนั้นการที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทเป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยมิได้กระทำเพื่อกิจการค้าของบริษัท เป็นการกระทำนอกขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด
แม้ตามสัญญาชักสวนลดเช็คข้อ 1 จะระบุว่า เช็คที่จำเลยที่ 1 เสนอให้โจทก์ชักส่วนลดต้องเป็นเช็คของธนาคารในประเทศไทย สั่งจ่ายให้จำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้สินค้าที่จำเลยที่ 1 ขายให้แก่ผู้สั่งจ่ายก็ตาม แต่ตามสัญญาข้อ 7 ให้สิทธิโจทก์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญา และไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยที่ 1 หลุดพ้นหรือลดน้อยลงเมื่อจำเลยที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาชักส่วนลดเช็คของจำเลยที่ 1 ไว้กับโจทก์โดยไม่จำกัดจำนวนและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและตามสัญญาค้ำประกันยินยอมให้โจทก์มีสิทธิ เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อกำหนดใด ๆ ของสัญญาชักส่วนลดเช็ค โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ 4 ทราบ และให้ถือว่าจำเลยที่ 4 ได้ตกลงยินยอมด้วย ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 4 หลุดพ้นจากข้อผูกพันและความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ดังนั้นแม้โจทก์จะรับเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายนำมาชักส่วนลดก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 4 ได้ตกลงยินยอมด้วย จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์
เมื่อฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาชักส่วนลดเช็คกับโจทก์รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือชักส่วนลดเช็คท้ายฟ้องและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง ดังนั้นสัญญาชักส่วนลดเช็คและสัญญาค้ำประกันถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง การที่ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าว จึงหาเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่รับผิดตามสัญญาชักส่วนลดเช็คและตามสัญญากู้ยืมจำนวนเงิน ๔๘๐,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับถัดจกาวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การ และจำเลยที่ ๔ แก้ไขคำให้การว่าจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันชักส่วนลดเช็คเฉพาะเช็คที่ผู้อื่นสั่งจ่ายและจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ทรงมาชักส่วนลดต่อโจทก์ตามสัญญาเท่านั้น เช็คตามฟ้องเป็นเช็คที่จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายแล้วนำมาขายลดให้แก่โจทก์ ไม่ใช่หนี้ตามสัญญาชักส่วนลดเช็ค จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันและจำเลยที่ ๔ มิได้เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้ ส่วนจำเลยที่ ๓ ขณะที่ทำสัญญาค้ำประกันยังไม่มีหนี้เงินกู้ เพียงแต่ทำสัญญาไว้จะให้กู้เงินสัญญากู้ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากยังไม่มีการส่งมอบเงินที่กู้และถ้ามีการกู้เงินกันเป็นคราว ๆ จะต้องมีหลักฐานการกู้ยืมหากเป็นการนำเช็คมาแลกเงินโจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องเรียกเงินตามเช็ค จำเลยที่ ๓ มิได้ค้ำประกันหนี้ตามเช็คจึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลไม่มีวัตถุประสงค์ในการค้ำประกันหนี้ของบุคคลอื่น เว้นแต่จะค้ำประกันเพื่อกิจการค้าของจำเลยที่ ๓ การค้ำประกันหนี้ตามฟ้องเป็นการนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันชำระเงิน ๔๘๐,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๓๐๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดเพียง ๓๘๗,๙๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๔๖,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดเพียงเท่าที่จำเลยที่ ๔ แพ้คดี คำขออื่นให้ยกสำหรับจำเลยที่ ๓ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมจำเลยที่ ๓ ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ชำระเงิน ๔๘๐,๘๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแก่โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ ๓ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๔ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๒,๐๐๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๓ เป็นบริษัทจำกัด ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายภายในขอบวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งตามหนังสือ รับรองเอกสารหมาย ล.๑ บริษัทจำเลยที่ ๓ มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าและข้อ ๓(๑๐) เพื่อทำการกู้ยืมเงินค้ำประกันและรับรองทั้งบุคคลหรือนิติบุคคล เพื่อกิจการค้าของบริษัท ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทเป็นการกระทำแทนจำเลยที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ มิได้กระทำเพื่อกิจการค้าของบริษัท เป็นการกระทำนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ ๓ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ ๔ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๔ รับผิดตามสัญญาค้ำประกันเฉพาะเช็คที่ผู้อื่นสั่งจ่ายแก่จำเลยที่ ๑ เช็คที่จำเลยที่๑ เป็นผู้สั่งจ่ายและนำไปขายชักส่วนลดกับโจทก์ตามฟ้อง เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อตกลงของสัญญาชักส่วนลดเช็คโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๔ ทราบ จำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้นเห็นว่า ตามสัญญาชักส่วนลดเช็ค เอกสารหมาย จ.๕ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงทำสัญญากันให้โจทก์มีสิทธิชักส่วนลดเช็ค ที่จำเลยที่ ๑ นำมาให้โจทก์ชักส่วนลดเป็นจำนวนในเวลาหนึ่ง ๆ ไม่เกิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน แม้ตามสัญญาข้อ ๑ จะระบุว่า เช็คที่จำเลยที่ ๑ เสนอให้โจทก์ชักส่วนลดต้องเป็นเช็คของธนาคารในประเทศไทยสั่งจ่ายให้จำเลยที่ ๑ เพื่อชำระหนี้สินค้าที่จำเลยที่ ๑ ขายให้แก่ผู้สั่งจ่ายก็ตาม แต่ตามสัญญาข้อ ๗ ยังให้สิทธิโจทก์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาและไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยที่ ๑ หลุดพ้นหรือลดน้อยลง จำเลยที่ ๔ ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาชักส่วนลดเช็คของจำเลยที่ ๑ ไว้กับโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.๖ โดยไม่จำกัดจำนวนและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และตามสัญญาข้อ ๖ ยินยอมให้โจทก์มีสิทธิเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อกำหนดใด ๆ ของสัญญาชักส่วนลดเช็คได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ ๔ ทราบ และให้ถือว่าจำเลยที่ ๔ ได้ตกลงยินยอมด้วย ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๔ หลุดพ้นจากข้อผูกพันและความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน หนี้ตามสัญญาชักส่วนลดเช็คเป็นหนี้ในอนาคตและมีเงื่อนไขซึ่งประกันได้และเงื่อนไขดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎหมาย แม้โจทก์จะรับเช็คที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายนำมาชักส่วนลด ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๔ ได้ตกลงยินยอมด้วย จำเลยที่ ๔ จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับผิดตามสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์
ที่จำเลยที่ ๔ ฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องไม่ได้ยกเป็นประเด็นว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อตกลงของสัญญาชักส่วนลดเช็คมาในฟ้อง ศาลยกเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามสัญญาท้ายฟ้องขึ้นวินิจฉัยเป็นการนอกฟ้องประเด็นนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาชักส่วนลดเช็คกับโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาชักส่วนลดเช็คท้ายฟ้อง และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง ดังนั้นสัญญาชักส่วนลดเช็คและสัญญาค้ำประกันถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าว ไม่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด
ที่จำเลยที่ ๔ ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดชดใช้เงิน ๔๘๐,๘๐๐ บาท จำเลยที่ ๔ ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้ยืมเงินไว้กับโจทก์จำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดตามจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโจทก์นั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดเพิ่มขึ้นตามฎีกาที่จำเลยที่ ๔ กล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงไม่มีปัญหาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยที่ ๓ ฟังขึ้น ฎีกาจำเลยที่ ๔ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ ๓ ให้เป็นพับ และค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์