คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จที่ยังขาดอยู่แก่โจทก์โดยอ้างว่าจำเลยมีข้อบังคับให้จ่ายเงินบำเหน็จ แต่อุทธรณ์ว่าเดิมจำเลยมีข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2528โดยไม่ระบุว่าเงินบำเหน็จสูงกว่าค่าชดเชยจะเป็นอย่างไร ต่อมาจำเลยออกข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2529ยกเลิกฉบับปี พ.ศ. 2528 เพื่อประโยชน์แก่จำเลย ข้อบังคับฉบับหลังนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์เป็นข้อที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ ทั้งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ หากโจทก์ตกลงด้วยก็มีผลใช้บังคับได้ อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ตามข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2529กำหนดว่าในกรณีที่พนักงานออกจากงานโดยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้แต่ถ้าค่าชดเชยที่มีสิทธิได้รับต่ำกว่าเงินบำเหน็จที่จะได้รับตามข้อบังคับนี้ก็ให้จ่ายเพิ่มเฉพาะส่วนที่ยังขาดอยู่ ซึ่งมีความหมายว่าพนักงานของจำเลยคนใดที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานอยู่แล้ว หากค่าชดเชยนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินบำเหน็จ จำเลยก็จะจ่ายค่าชดเชยให้เต็มจำนวนกับยังจ่ายเงินบำเหน็จให้อีกตามจำนวนที่แตกต่างกันเฉพาะส่วนที่มีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชยนั้น เมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจากจำเลยเกินกว่าจำนวนค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว เงินที่โจทก์ได้รับจึงเป็นค่าชดเชยเต็มจำนวนแล้ว โจทก์คงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่ยังขาดอยู่เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุโดยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์แล้วแต่จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์ไม่ครบถ้วน ขอให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จที่ยังขาดอยู่แก่โจทก์ จำเลยให้การว่าได้จ่ายเงินบำเหน็จแก่โจทก์ถูกต้องตามข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจ ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพ.ศ. 2529 แล้ว ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทธรณ์ข้อต่อไปว่าเดิมจำเลยได้ออกข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพ.ศ. 2528 โดยไม่ระบุว่าเงินบำเหน็จสูงกว่าค่าชดเชยจะเป็นอย่างไรซึ่งศาลแรงงานกลางเคยพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและเงินบำเหน็จทั้งสองจำนวนมาแล้ว จำเลยจึงได้ออกข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2529 ยกเลิกฉบับปี พ.ศ. 2528 เพื่อเป็นประโยชน์แก่จำเลย ข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพ.ศ. 2529 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า ปัญหาข้อนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินบำเหน็จที่ยังขาดจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยมีข้อบังคับให้จ่ายเงินบำเหน็จเท่านั้น โจทก์หาได้บรรยายฟ้องว่า เดิมจำเลยเคยมีข้อบังคับเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ประการใด และได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขกันในเรื่องใด และจะขัดกันในสาระสำคัญว่าอย่างใดอันพึงเป็นข้อที่ศาลจะพิจารณาว่าเป็นคุณหรือไม่เป็นคุณแก่โจทก์ทั้งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับอันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนี้ แม้กรณีจะเป็นเรื่องที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ก็ตามหากโจทก์ได้ตกลงด้วย ก็ยังมีผลใช้บังคับได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายเช่นเดียวกัน แม้ในวันนัดพิจารณา จำเลยได้ส่งข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2528 ตามคำขอของโจทก์และโจทก์จำเลยต่างแถลงรับถึงความมีอยู่และความแท้จริงไว้แล้วก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่ามีประเด็นข้อพิพาทในปัญหาข้อนี้เกิดขึ้นแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์อุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า ตามข้อบังคับของจำเลยดังกล่าวเห็นได้ว่า เงินบำเหน็จเป็นเงินต่างประเภทกับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน จำเลยจึงต้องจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่โจทก์เต็มจำนวนตามข้อบังคับ ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2529 ข้อ 10กำหนดว่า ในกรณีที่พนักงานออกจากงานตามข้อ 9 โดยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้ แต่ถ้าค่าชดเชยที่มีสิทธิได้รับต่ำกว่าเงินบำเหน็จที่จะได้รับตามข้อบังคับนี้ก็ให้จ่ายเพิ่มเฉพาะส่วนที่ขาดอยู่ซึ่งมีความหมายว่า พนักงานของจำเลยคนใดที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน อยู่แล้วหากค่าชดเชยนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินบำเหน็จ จำเลยก็จะจ่ายค่าชดเชยให้เต็มจำนวนกับยังจ่ายเงินบำเหน็จให้อีกตามจำนวนที่แตกต่างกันของค่าชดเชยกับเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่มีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชยนั้นโจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจากจำเลยเกินกว่าจำนวนค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 เงินที่ได้รับเป็นค่าชดเชยเต็มจำนวนแล้ว เมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยที่มีจำนวนต่ำกว่าเงินบำเหน็จ โจทก์จึงคงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่ยังขาดอยู่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินบำเหน็จเต็มจำนวนได้”
พิพากษายืน

Share