คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2112/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนครัวที่รุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์ ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้โดยค่าใช้จ่ายเป็นของจำเลย ปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่10) พ.ศ. 2527 ออกใช้บังคับซึ่งมาตรา 12 ให้เพิ่มเติมบทมาตรา 296 ทวิ เป็นว่า’ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกพิพากษาให้ขับไล่ หรือต้องออกไป หรือต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยหรือทรัพย์ที่ครอบครอง ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียว โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จัดการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์ดังกล่าว’ ดังนั้นโจทก์จึงชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนครัวของจำเลยที่รุกล้ำออกไปได้ จะให้โจทก์รื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 61 หมู่ 8 ตำบลปทุมอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งปลูกในที่ดินของจำเลยต่อมาจำเลยได้แบ่งขายที่ดินให้นายกรณ์ มาดาสิทธิ์แล้วนายกรณ์ขายให้แก่นางสาวสถิตย์ แสนทวีสุขบุตรจำเลยระหว่างที่ดินเป็นของนางสาวสถิตย์จำเลยได้ปลูกครัวลงในที่ดินดังกล่าว ต่อมานางสาวสถิตย์ขายฝากที่ดินนี้แก่โจทก์ครบกำหนดแล้วไม่ไถ่ถอนครัวของจำเลยจึงรุกล้ำอยู่ในที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนครัวที่รุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์หรือคนที่มอบหมายจากโจทก์รื้อถอนโดยค่าใช้จ่ายเป็นของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยและให้จำเลยใช้ค่าที่ดินแก่โจทก์ไปจนกว่าจะรื้อถอนเสร็จ
จำเลยให้การว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่415 ท้ายฟ้องมีเนื้อที่ 50 ตารางวาจำเลยขายให้แก่นายกรณ์มาดาสิทธิ์เมื่อปีพ.ศ.2511 นายกรณ์ขอออกน.ส.3 เป็นชื่อตน ต่อมาปีพ.ศ.2513 จำเลยจึงปลูกครัว 1 หลังพร้อมกับปลูกพืชล้มลุกบนที่ดิน เป็นการเข้าครอบครองด้วยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมา จึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินเนื้อที่ 50 ตารางวาแล้วต่อมานายกรณ์ขายที่ดินให้แก่นางสาวสถิตย์ แสนทวีสุขครั้นวันที่ 11 มีนาคม 2525นางสาวสถิตย์ขายฝากที่ดินให้แก่โจทก์และไม่ไถ่ถอน โจทก์มาฟ้องจำเลยเกินกว่า 1 ปีนับแต่จำเลยแย่งการครอบครองโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนครัวส่วนที่รุกล้ำอยู่ในที่ดินตามน.ส.3 เลขที่ 415 ของโจทก์ออกไปทันทีถ้าจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 7,000 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ยังมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อครัวออกไปได้ แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าถ้าจำเลยไม่รื้อถอนครัวส่วนที่รุกล้ำออกไป ก็ให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้นเป็นการไม่ชอบเนื่องจากในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 10)พ.ศ.2527 ออกใช้บังคับซึ่งมาตรา 12 ให้เพิ่มเติมบทมาตรา 296ทวิ เป็นว่า ‘ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกพิพากษาให้ขับไล่หรือต้องออกไปหรือต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครองถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียว โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จัดการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์ดังกล่าว’ ดังนั้นโจทก์จึงชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนครัวของจำเลยที่รุกล้ำออกไปได้ ขอให้โจทก์รื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่
พิพากษาแก้เป็นให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์รื้อครัวพิพาทได้เองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 1,000 บาท.

Share