แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนครัวที่รุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์ ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้โดยค่าใช้จ่ายเป็นของจำเลย ปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่10) พ.ศ. 2527 ออกใช้บังคับซึ่งมาตรา 12 ให้เพิ่มเติมบทมาตรา 296 ทวิ เป็นว่า ‘ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกพิพากษาให้ขับไล่ หรือต้องออกไป หรือต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยหรือทรัพย์ที่ครอบครอง ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียว โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จัดการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์ดังกล่าว’ ดังนั้นโจทก์จึงชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนครัวของจำเลยที่รุกล้ำออกไปได้ จะให้โจทก์รื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ ๖๑ หมู่ ๘ ตำบลปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งปลูกในที่ดินของจำเลยต่อมาจำเลยได้แบ่งขายที่ดินให้นายกรณ์ มาดาสิทธิ์ แล้วนายกรณ์ขายให้แก่นางสาวสถิตย์ แสนทวีสุข บุตรจำเลย ระหว่างที่ดินเป็นของนางสาวสถิตย์ จำเลยได้ปลูกครัวลงในที่ดินดังกล่าว ต่อมานางสาวสถิตย์ขายฝากที่ดินนี้แก่โจทก์ครบกำหนดแล้วไม่ไถ่ถอน ครัวของจำเลยจึงรุกล้ำอยู่ในที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนครัวที่รุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์ ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์หรือคนที่มอบหมายจากโจทก์รื้อถอนโดยค่าใช้จ่ายเป็นของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยใช้ค่าที่ดินแก่โจทก์ไปจนกว่าจะรื้อถอนเสร็จ
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๔๑๕ ท้ายฟ้อง มีเนื้อที่ ๕๐ ตารางวา จำเลยขายให้แก่นายกรณ์มาดาสิทธิ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑ นายกรณ์ขอออก น.ส.๓ เป็นชื่อตน ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๑๓ จำเลยจึงปลูกครัว ๑ หลังพร้อมกับปลูกพืชล้มลุกบนที่ดิน เป็นการเข้าครอบครองด้วยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมา จึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินเนื้อที่ ๕๐ ตารางวาแล้วต่อมานายกรณ์ขายที่ดินให้แก่นางสาวสถิตย์ แสนทวีสุข ครั้นวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๒๕ นางสาวสถิตย์ขายฝากที่ดินให้แก่โจทก์ และไม่ไถ่ถอน โจทก์มาฟ้องจำเลยเกินกว่า ๑ ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนครัวส่วนที่รุกล้ำอยู่ในที่ดินตาม น.ส.๓ เลขที่ ๔๑๕ ของโจทก์ออกไปทันที ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยชำระค่าเสียหาย ๗,๐๐๐ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยังมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อครัวออกไปได้ แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนครัวส่วนที่รุกล้ำออกไป ก็ให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้นเป็นการไม่ชอบ เนื่องจากในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ.๒๕๒๗ ออกใช้บังคับ ซึ่งมาตรา ๑๒ ให้เพิ่มเติมบทมาตรา ๒๙๖ ทวิ เป็นว่า ‘ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกพิพากษาให้ขับไล่ หรือต้องออกไป หรือต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครองถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียว โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จัดการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เข้าครอบครองทรัพย์ดังกล่าว’ ดังนั้นโจทก์จึงชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนครัวของจำเลยที่รุกล้ำออกไปได้ ขอให้โจทก์รื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่
พิพากษาแก้ เป็นให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์รื้อครัวพิพาทได้เองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ ๑,๐๐๐ บาท