คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารพิพาท โจทก์ได้จดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์อาคารดังกล่าวให้จำเลยทั้งสอง ต่อมาโจทก์มีความประสงค์จะขายที่ดินดังกล่าว จำเลยขัดขวางไม่ยอมรื้อถอนอาคารพิพาทออกจากที่ดินขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และใช้ค่าเสียหาย เป็นการฟ้องโดยอาศัยมูลละเมิดโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง ย่อมมีหน้าที่นำสืบในประเด็นข้อพิพาทนี้ คำให้การของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยเพราะโจทก์ได้แสดงเจตนายกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยทั้งสองอยู่อาศัยตลอดชีวิตพอแปลได้ว่าเป็นข้อต่อสู้ว่านอกจากโจทก์จะยกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยแล้ว ยังมีข้อตกลงต่างหากให้จำเลยทั้งสองมีสิทธิอยู่อาศัยในอาคารพิพาท ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ตลอดชีวิต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17397 พร้อมสิ่งปลูกสร้างคืออาคารเลขที่ 998ต่อมาโจทก์จดทะเบียนยกให้อาคารแก่จำเลยทั้งสองโดยเสน่หา โจทก์ต้องการขายที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นโจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนดังกล่าวแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารเลขที่ 998 พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่ดินและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เป็นบิดาจำเลยทั้งสองอาคารพิพาทเป็นตึก 2 ชั้นก่ออิฐถือปูน การที่โจทก์ยกอาคารพิพาทให้จำเลยทั้งสองแล้วโจทก์กลับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงอันเป็นการเพิ่มภาระแก่จำเลยทั้งสองทั้ง ๆ ที่ จำเลยทั้งสองมิได้ปลูกสร้าง แสดงว่าโจทก์มีเจตนาไม่สุจริต จำเลยทั้งสองมิได้ขัดขวางที่จะขายที่ดินให้แก่บุคคลอื่น จำเลยทั้งสองมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์ได้แสดงเจตนาให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในอาคารพิพาทเพื่อใช้อยู่อาศัยจนตลอดชีวิต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ให้รื้อถอนและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ค่าเสียหายมีเพียงใดก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายตามฟ้องจากจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน จึงงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารเลขที่ 998ซอยสวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานครพร้อมให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารของจำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 17397 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวากรุงเทพมหานคร ของโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิเหนือพื้นดินในที่ดินของโจทก์ตลอดชีวิตหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรกำหนดปัญหาดังกล่าวเป็นประเด็นข้อพิพาทโดยให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบและนำสืบก่อนพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานไปตามประเด็นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดแล้วพิพากษาคดีใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฟ้องโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นบิดาของจำเลยทั้งสองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารเลขที่ 998โจทก์ได้จดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์อาคารดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองต่อมาโจทก์มีความประสงค์จะขายที่ดินของโจทก์ จำเลยขัดขวางไม่ยอมรื้อถอนอาคารพิพาทออกจากที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และใช้ค่าเสียหาย จึงเป็นการฟ้องโดยอาศัยมูลละเมิดจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย เพราะโจทก์ได้แสดงเจตนายกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยทั้งสองเพื่ออยู่อาศัยตลอดชีวิต ขอให้ยกฟ้องคำให้การเช่นนี้พอแปลได้ว่าเป็นข้อต่อสู้ว่านอกจากโจทก์จะยกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยแล้ว ยังมีข้อตกลงต่างหากให้จำเลยทั้งสองมีสิทธิอยู่อาศัยในอาคารพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ตลอดชีวิต ดังนั้นตามคำฟ้องและคำให้การจึงยังคงมีปัญหาโต้เถียงกันอยู่ว่าการที่โจทก์ยกอาคารเลขที่ 998 ให้จำเลยโดยโจทก์แสดงเจตนาให้จำเลยคงยังอยู่ในอาคารนั้นตลอดชีวิตของจำเลยหรือไม่โดยไม่จำต้องก้าวล่วงไปถึงปัญหาว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิเหนือพื้นดินในที่ดินของโจทก์อันเป็นการนอกเหนือจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่อย่างใดศาลชั้นต้นควรกำหนดปัญหาดังกล่าวเป็นประเด็นข้อพิพาท และเมื่อโจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยละเมิด โจทก์จึงเป็นฝ่ายกล่าวอ้างย่อมมีหน้าที่นำสืบในประเด็นข้อพิพาทนี้ ศาลชั้นต้นจำต้องให้คู่ความนำพยานหลักฐานเข้าสืบให้สิ้นกระแสความเสียก่อนโดยให้โจทก์นำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อนคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิอยู่ในที่ดินของโจทก์ตลอดชีวิตหรือไม่ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โดยให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบและนำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share